เครียด

 
เมตตา
วันที่  20 ก.ย. 2554
หมายเลข  19761
อ่าน  1,918

คนเป็นจำนวนมากเมื่อประสพกับความทุกข์ เมื่อไม่ได้มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ก็คิด

มาก คิดไปในเรื่องราวของบุคคล พ่อแม่ พี่น้อง สัตว์ สิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งสมมติทั้ง

สิ้น สิ่งที่บัญญัติขึ้นมาไม่มีสภาวะธรรมที่เป็นจริงเลย สิ่งที่มีจริงก็มีเพียงเห็น ได้ยิน

ได้กลิ่น รู้รส รู้กระทบเย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว และคิด ชั่วขณะสั้น

แสนสั้นแล้วก็ดับไป ด้วยความเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของจิต เรามักจะคิดถึงเรื่อง

ราวต่างๆ จึงมีความติดข้องในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หรือไม่พอใจ โกรธในบุคคลเรื่องราว

ของความคิด ทุกข์เกิดเพราะคิดแท้ๆ โดยไม่คิดถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ

เครียดหรือไม่เครียดก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย จะเครียดมากเครียดน้อยขึ้นอยู่กับอกุศล

ที่ได้สะสมมามากหรือน้อย

มีคนเป็นจำนวนมากเมื่อไม่มีความเข้าใจพระธรรมอย่างแท้จริง มักจะคิดว่าจะนำ

ธรรมมาใช้เพื่อให้หายเครียด ท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวว่า จะนำธรรมมาจากที่ไหนมา

ใช้ เครียดก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง การจะพึ่งพระธรรมจึงต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจ

ทุกอย่างเป็นธรรม ฟังจนกว่าทุกอย่างเป็นธรรมจริงๆ เครียดไม่ใช่เรา เครียดเป็นธรรม

ความเข้าใจเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่ง โรคอะไรร้ายกว่าเครียด? โรคของความติดข้อง

โรคโลภ ร้ายกว่าโรคเครียด ความทุกข์ที่กำลังประสพอยู่ในโลกนี้ ที่คิดว่าทุกข์แสน

สาหัสก็ยังไม่เท่าทุกข์ในนรก

ฟังธรรมให้เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่มีเรา ควรรู้ตามความเป็นจริง ไตร่ตรอง

พิจารณาให้เข้าใจ เพื่อเห็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่มีเรา จนกว่าทั้งหมดเป็นธรรมจริงๆ

ปัญญาความเห็นถูก เข้าใจถูก เท่านั้นที่จะรักษาโรคเครียด และโรคต่างๆ ได้

อย่างแท้จริง

ขออนุโมทนาค่ะ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 20 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เครียดมีจริง เป็นสภาพธรรม เมื่อว่าโดยธรรมแล้ว เป็นโทสะ มีความรู้สึกไม่สบายใจ

ในขณะนั้น ซึ่งความเครียดเกิดขึ้นได้ก็เพราะอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น เพราะอาศัย

กิเลสที่มีอยู่ คือ อาศัยความติดข้องที่เป็นโลภะ ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส

ยึดถือด้วความติดข้อง และยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เมื่อสิ่งเหล่านั้นแปรปรวน

ไป ปุถุชนผู้ไมไ่ด้สดับ ไม่มีปัญญา ย่อมทุกข์ โศก คร่ำครวญในสิ่งๆ นั้นที่ติดข้องและ

แปรปรวนไป ความเครียดก็คือ สภาพธรรมที่เป็นโทสะที่เกิดขึ้นจากความแปรปรวนไป

ของสภาพธรรมที่เราิติดข้อง จึงเกิดความทุกข์ ความเครียด

การแก้ความเครียดในทางโลกก็คือ การเปลี่ยนจากความเครียดที่เป็นโทสะ เปลี่ยน

ไปเป็นโลภะ โดยการหากิจกรรมต่างๆ ที่สนุกสนานเพลิดเพลินไป เปลี่ยนอารมณ์จาก

โทสะเป็นโลภะ หรือการหาวิธีคิดให้เปลี่ยนจากโทสะ เป็นจิตประเภทอื่นๆ นั่นเองครับ

นั่นก็เหมือนการแก้เครียด แก้ทุกข์ชั่วคราวได้ ในทางโลกที่คิดกัน แต่เราลืมเหตุของ

โรคเครียด นั่นก็คือ ตัวกิเลส ที่เป็นโลภะนั่นเองครับ เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ ไปเป็นโลภะ ก็

เท่ากับเพิ่มทุกข์ เพราะเมื่อติดข้องมากก็ทุกข์มาก เครียดมาก ดังนั้นหนทางแก้เครียด

คือ รู้จักตัวเครียด แต่ไม่ใช่พยายามให้เครียดหายไป ทุกข์หายไปทันที เพราะไม่ใช่

ฐานะเพราะยังกิเลส คือ โทสะอยู่มากที่ยังไม่ได้ดับ

แต่หนทางที่ถูก คือ เข้าใจความเครียด ความทุกข์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แม้

จะเครียดอยู่ก็เข้าใจถึงความเป็นธรรมดาที่จะต้องเกิดขึ้น เมื่อมีเหตุปัจจัย แต่จะหาวิธีแก้

เครียดโดยจะเอาไปใช้ ลืมว่าไม่มีปัญญา ก็กลายเป็นความต้องการ ก็จะเพิ่มความทุกข์

ความเครียดเพราะไม่สามารถแก้ความเครียดได้จริงครับ การศึกษาพระธรรม ค่อยๆ อบรม

ปัญญาและรู้จักตัวจริงของสภาพธรรมทีเ่กิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา คือ วิธีที่ถูกต้องใน

การละคลายความทุกข์ ความเครียดได้หมดสิ้นในอนาคต แม้ความเครียด ความทุกข์มี

อยู่ แต่ก็มีอยู่เพื่อให้ได้ศึกษาตัวจริงและอบรมปัญญาครับ

ขออนุโมทนาพี่เมตตาและทุกๆ ท่านครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pamali
วันที่ 20 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kinder
วันที่ 20 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขออนุญาต ร่วมสนทนาด้วยครับ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ส่องให้เข้าใจถึงสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ทุกๆ ขณะ แม้แต่ในขณะที่เครียด เครียด เป็นธรรม จะเครียดมาก หรือ เครียดน้อย ก็เป็นอกุศล กล่าวคือ เป็นอกุศลจิต ที่ประกอบด้วยโทสะ ประกอบด้วยเวทนาอย่างหนึ่ง คือ โทมนัสเวทนา จึงมีความไม่สบายใจเกิดขึ้นนี้คือ ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ทุกข์ใจ มี เพราะยังมีกิเลส อยู่นั่นเอง เมื่อสะสมกิเลสมามาก กิเลสจึงเกิดมากเป็นธรรมดา ซึ่งจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน แม้จะได้ฟังพระธรรม มาบ้างแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลสประการต่างๆ มากมายโสภณธรรม ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดี อันได้แก่ ปัญญา จึงมีน้อย และเจริญช้ามาก เมื่อปัญญายังน้อย จึงไม่มีกำลังที่ดับกิเลสได้ กิเลสจึงเกิดบ่อยมากในชีวิตประจำวันไม่เพียงเฉพาะในขณะที่เครียดเท่านั้น ยังมีอกุศลธรรมประการอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งโลภะ ความติดข้องต้องการ โมหะ ความหลง ความไม่รู้ อิสสา (ความ ริษยา) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) เป็นต้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เท่านั้นที่จะเป็นหนทางเพื่อการดับกิเลสทั้งหลาย เป็นหนทางที่จะได้ยาดี คือ ปัญญา ที่สามารถรักษาโรคกิเลสได้ทุกชนิดจริงๆ เป็นยาที่พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ท่านได้ใช้ และ หายจากโรคดังกล่าว ได้ ดังนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เพราะกิเลสที่มีมากต้องอาศัยปัญญาเท่านั้น จึงจะดับให้หมดสิ้นได้ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่เมตตา และทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอบคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 20 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pat_jesty
วันที่ 20 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 21 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
jaturong
วันที่ 22 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
bsomsuda
วันที่ 22 ก.ย. 2554

"เพราะกิเลสที่มีมาก

ต้องอาศัยปัญญาเท่านั้น

จึงจะดับให้หมดสิ้นได้"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
aurasa
วันที่ 9 ต.ค. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 18 ธ.ค. 2554
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ