กาลามสูตร 10

 
lovedhamma
วันที่  24 ส.ค. 2554
หมายเลข  19565
อ่าน  4,394

จาก กาลามสูตร ๑๐ เราควรมีหลักในการเชื่ออย่างไร จึงจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สำหรับกาลามสูตร หรือ เกสปุตตสูตร พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมกับชาวกาลามะ ที่ว่า มีสมณพราหมณ์มาแสดงความเห็นต่างๆ และก็กล่าวว่า ความเห็นของผู้นี้ไม่จริงของเราจริง

สมณพราหมณ์ต่างๆ ก็มาแสดงความเห็นมากมาย ชาวกาลามะก็เลยสงสัย มากราบทูลพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ ว่าข้าพระองค์สงสัยว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดีแล้วที่ท่านทั้งหลายสงสัยในสิ่งที่ควรสงสัยและพระองค์ก็แสดงว่า

ท่านอย่าเชื่อ ... (คลิก) กาลามสูตร [เกสปุตตสูตร]

แต่ตอนท้ายพระองค์ก็แสดงว่า แต่เมื่อใดที่ท่านทั้งหลายรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมนี้มีโทษ เป็นอกุศล ผู้ที่เสพคุ้นหรือเจริญอกุศลย่อมมีโทษ และท่านก็ควรละธรรมเหล่านั้น

จากข้อความนี้แสดงให้เห็นครับว่า

พระองค์ให้ชาวกาลามะ รวมทั้งพวกเราได้พิจารณาด้วยปัญญาของตนเอง ไม่ใช่เชื่อเลย เมื่อได้ยินมาหรือจากเหตุอื่นก็ไม่ควรเชื่อเลยทีเดียว แต่พิจารณาด้วยปัญญา โดยการรู้ด้วยตนเองนั่นแหละครับ จึงรู้ความจริงว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี เมื่อเกิดปัญญา พิจารณารู้ได้ด้วยตนเองแล้ว จึงไม่เชื่อในสิ่งที่ไม่ถูกต้องและเชื่อในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะพิจารณาด้วยปัญญาของตนแล้วครับ

ดังนั้น พระองค์จึงสื่อความหมายให้พุทธบริษัทพิจารณาในสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เชื่อทันที คือพิจารณาด้วยปัญญาของตนจึงรู้ว่าสิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริง สิ่งใดมีโทษ ไม่มีโทษและก็ประพฤติในสิ่งที่ดีและละในสิ่งที่ไม่ดีครับ

ปัญญาของตนเองที่พิจารณานั่นเองครับ ที่พระองค์สื่อให้เข้าใจในสูตรนี้

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถูก เห็นถูก เป็นปัญญาของผู้ฟังเอง โดยให้ผู้ฟังได้พิจารณาไตร่ตรองในเหตุในผลจริงๆ ไม่ใช่ให้เชื่ออะไรโดยง่าย เพราะความสำคัญผิด ความเห็นผิด ย่อมจะเกิดได้เสมอ ตราบใดที่ยังไม่มีการอบรเจริญปัญญาจนถึงขั้นเป็นพระอริยบุคคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เพราะฉะนั้น ก็จะต้องมีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงตรงตามพระธรรมอย่างแท้จริง

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการคิดนึกเดาเอาเอง ไม่สามารถรู้ได้ด้วยการคาดคะเน แต่ต้องด้วยการฟัง การศึกษาพิจารณาไตร่ตรอง เป็นปัญญาของตนเองจริงๆ ซึ่งปัญญานี้เอง เป็นสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูก

บุคคลผู้ที่จะธรรมรู้ตามพระองค์ได้นั้น ต้องเป็นบัณฑิตผู้มีปัญญา, สภาพธรรมทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล เป็นต้น พระองค์ทรงแสดงไว้โดยละเอียด เพื่อประโยชน์ คือปัญญาของผู้ฟัง จะได้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า กุศลกับอกุศล มีความต่างกันอย่างไร อย่างไหนมีโทษ อย่างไหนไม่มีโทษ อย่างไหนควรละ อย่างไหนควรอบรมเจริญให้มีขึ้น

โดยพระองค์ทรงเป็นผู้แสดงให้ได้พิจารณาไตร่ตรองเท่านั้น ส่วนจะมีความเห็นถูกต้องมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการสะสมมาของแต่ละบุคคลจริงๆ

บุคคลผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะได้สะสมบุญมาแล้วตั้งแต่ชาติปางก่อน จึงทำให้ได้ฟังได้ศึกษาได้สะสมปัญญาต่อไปอีก เป็นผู้เห็นประโยชน์ของการเข้าใจพระธรรม และได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตามกำลังปัญญาของตนเอง

ซึ่งจะเห็นได้ว่าประโยชน์สูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์คือ ได้ฟังและได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นคำสอนที่ประเสริฐอันมาจากการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 25 ส.ค. 2554

ในการศึกษาพระธรรมของผม ก็ระมัดระวังมากในเรื่อง "ความเชื่อ" แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ "ความเข้าใจ" คือเข้าใจในสิ่งที่กำลังศึกษา ส่วนคำสอนใดที่ไม่มีเหตุผล ไม่สามารถอธิบายให้เราเข้าใจได้อย่างมีเหตุผล ก็ไม่ควรเชื่อครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
lovedhamma
วันที่ 29 เม.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pornchai.s
วันที่ 3 ต.ค. 2564

อนุโมทนาครับ ทั้งวิทยากร และคุณ Sam ค.ห.3

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 3 ต.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Muthitas
วันที่ 29 ม.ค. 2567

สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ม.ค. 2567

ความเห็นผิด ความเข้าใจผิดของคนสมัยก่อนกับความเห็นผิด ความเข้าใจผิดของคนในสมัยนี้ ต่างกันไหม เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ชาวกาลามะในครั้งกระโน้น แต่เป็นบุคคลในครั้งนี้ ความคิด ความเห็นจะไม่เหมือนกับบุคคลที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงกับชาวกาลามะใน เกสปุตตสูตร หรือ และสำหรับสูตรนี้โดยมากจะได้ยินได้ฟังเสมอว่า กาลามสูตร ได้ยินได้ฟังสืบต่อกันมา แต่ถ้าท่านจะค้นในพระไตรปิฎก ไม่มีกาลามสูตรในพระไตรปิฎก ซึ่งบางท่านก็คงยึดถือต่อๆ ไปอีก ไม่คิดว่า การตรวจสอบค้นคว้า เกื้อกูลแก่พระธรรมวินัยนั้นควรจะกระทำ ควรจะแก้ไข

ขออ่านข้อความในสูตรนี้ให้ฟังอย่างครบถ้วน เพราะว่าท่านได้ยินชื่อนี้บ่อยๆ แต่พูดกันว่า กาลามสูตร และไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศไทย ไม่ว่าในหนังสืออื่น ฉบับต่างประเทศก็ใช้คำว่า กาลามสูตร แต่ถ้าท่านผู้ฟังเป็นผู้ที่ใคร่จะศึกษาค้นคว้า ไตร่ตรอง สอบทานพระธรรมวินัย ท่านก็ควรจะทราบว่า กาลามสูตรไม่มีในพระไตรปิฎก มีแต่ เกสปุตตสูตร

ที่มา อ่าน และฟังเพิ่มเติม ...

เกสปุตตสูตร

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ