ข้อความที่ฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่า

 
pirmsombat
วันที่  13 เม.ย. 2554
หมายเลข  18200
อ่าน  2,378

ถ้ามีวาจาที่ประกอบด้วยข้อความ ซี่งไม่เป็นประโยชน์ แม้ตั้งพัน ข้อความที่เป็นประโยชน์ บทเดืยว ที่ฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 เม.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

[เล่มที่ 41] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 424

๑. สหสฺสมปิ เจ วาจา อนตฺถปทสญฺหิตา เอก อตฺถปท เสยฺโย ย สุตฺวา อุปสมฺมติ. "หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็น ประโยชน์ไซร้, บทที่เป็นประโยชน์ บทเดียว ซึ่ง บุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่า."


ปรารภเรื่อง ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสพระคาถานี้ เรื่องมีอยู่ว่า บุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดง ได้ฆ่าโจรตามคำสั่งพระราชามอบหมายไว้ให้เป็นเพชรฆาต ทำปาณาติบาตคือการฆ่า โจรอย่างนี้เป็นเวลาถึง 55 ปี ครั้นเมื่อแก่ไม่ค่อยมีแรงในการฆ่าโจร จึงถูกปลดออกจาก ตำแหน่ง เมื่อถูกปลดแล้ว เขาก็ได้อาหารอย่างดีเพื่อจะเป็นผู้บริโภคอาหารนี้เอง ครั้งนั้น พระสารีบุตรออกจากสมาบัติ คิดว่าเราจะสงเคราะห์ใคร คือ ใครที่จะถวายอาหารกับเรา ประโยชน์ก็จะเกิดกับผู้ถวายนั้น เห็นบุรุษผู้ฆ่าโจรมีเคราแดงอยู่ในบุคคลที่จะสงเคราะห์ ได้ ท่านจึงไปที่หน้าเรือนของเขา เขาเห็นพระเถระแล้วเกิดจิตเลื่อมใส จึงตั้งใจถวาย อาหารที่ได้อย่างดีมา พระเถระรับและฉันเสร็จ เริ่มที่แสดงธรรม แต่บุรุษผู้ฆ่าโจรเครา แดง จิตฟุ้งซ่านเพราะนึกถึงกรรมที่ตัวเองทำเอาไว้ว่าเป็นกรรมหยาบช้า พระสารีบุตรจึง อธิบายให้เขาเข้าใจและมีจิตสงบ พระสารีบุตรท่านจึงแสดงธรรม เขาเมื่อฟังธรรมอยู่ บรรลุวิปัสสนาญาณขั้นสูงและไม่นาน แม่โคก็ขวิดเขาตายไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต พวกภิกษุทั้งหลายก็สนทนากันว่าเขาทำบาปมามากเขาจะเกิดที่ไหน พระพุทธเจ้า ตรัสตอบว่าเขาเกิดที่สวรรค์ชั้นดุสิต พวกภิกษุจึงถามว่าเขาทำบาปขนาดนี้เกิดที่สวรรค์ ชั้นดุสิตได้อย่างไร

พระพุทธองค์ทรงแสดงคุณของความเป็นผู้มีมิตรดีเพราะอาศัยพระสารีบุตร ทำให้ได้ฟังธรรม เมื่อฟังธรรมก็บรรลุได้ และพระพุทธเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า เธออย่าสำคัญว่า ธรรมที่เราแสดงจะน้อยเลย บุคคลแม้คำฟังแม้เพียงน้อยแต่เป็นถ้อยคำที่ประเสริฐก็สามารถทำให้เขาบรรลุได้

พระพุทธเจ้าจึงตรัวพระคาถาว่า

"หากวาจาแม้ตั้งพัน ไม่ประกอบด้วยบทที่เป็นประโยชน์ไซร้, บทที่เป็นประโยชน์ บทเดียว ซึ่งบุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ประเสริฐกว่า."

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 13 เม.ย. 2554

อธิบายพระคาถา

วาจาใดที่จะมีแม้มากคือจะพูดมากอย่างไรก็ตาม แต่เป็นวาจาที่ไม่ประกอบด้วย

ประโยชน์ เป็นวาจาที่ไม่ให้กุศลจิต เป็นวาจาที่ไม่ให้ปัญญาเจริญ อันเป็นเดรัจฉานกถา

วาจาเหล่านั้นแม้จะมากเพียงใดก็ตามไม่ประเสริฐเลย เพราะไม่สามารถทำให้ผู้ฟังจิต

สงบด้วยกุศล และทำให้ปัญญาเกิดจนสามารถดับกิเลสได้ แต่วาจาใดแม้จะน้อยเพียง

คำสั้นๆ แต่สามารถทำให้ผู้ฟังสงบจากกิเลส เกิดกุศลจิตและที่สำคัญทำให้ผู้ฟังเข้าใจ

ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แม้

คำเพียงสั้นๆ แต่ปัญญาเกิดได้ วาจานั้นเป็นวาจาประเสริฐเพราะสามารถทำให้ปัญญา

เจริญขึ้นได้จนสามารถบรรลุได้นั่นเอง

จำนวนของคำจึงไม่เป็นประมาณในการตัดสินว่าสิ่งใดประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ แต่

คำใดจะมากหรือน้อยทำให้ผู้ฟังสงบจากกิเลส ปัญญาเกิดได้ถ้อยคำนั้นประเสริฐ ดั่งคำ

สอนอันเป็นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นถ้อยคำประเสริฐเพราะสามารถทำให้

หมู่สัตว์รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมและสามารถดับกิเลสได้ครับ

ป.ล.เรื่องนี้เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสพระคาถาจบ ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 13 เม.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น วาจา (ถ้อยคำ,คำพูด) ที่เลิศหรือประเสริฐกว่าวาจาทั้งหลาย คือ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น เป็นความจริง เป็นพระวาจาที่เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ของผู้ที่ได้ยินได้ฟัง เกิดปัญญาเป็นของตนเอง เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด ถ้อยคำอย่างอื่นที่ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาและกุศลธรรมประการอื่นๆ ถึงแม้จะมีมากมาย ก็ไม่ประเสริฐ พระธรรม เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ได้ฟัง มีความเข้าใจถูก เห็นถูก เท่านั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง มีน้อยมาก เมื่อเทียบ กับผู้ที่ไม่ได้ศึกษา (หรือศึกษาในแนวทางที่ไม่ถูกต้อง) ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ,คุณผเดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 14 เม.ย. 2554

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 119

ข้อความบางตอนจาก โพธิราชกุมารสูตร

ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้เป็นธรรมลึก ยากที่จะเห็นได้ สัตว์อื่นจะตรัสรู้

ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบระงับ ประณีต ไม่เป็นวิสัยที่จะหยั่งลงได้ด้วย

ความตรึก เป็นธรรมละเอียด อันบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง.

...ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...

ธรรมบทเดียวฟังแล้วสงบระงับ [พระกุณฑลเกสีเถรี]

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น, คุณผเดิม

และคุณหมอ ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ups
วันที่ 14 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 14 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 14 เม.ย. 2554

คำพูดใด ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ถ้าพูดแล้วทำให้คนฟังเข้าใจธรรมะ ขัดเกลากิเลสได้

คำพูดนั้นประเสริฐ เป็นประโยชน์ และต้องรู้จักกาละที่จะพูด จึงเป็นวาจาสุภาษิตค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chaiyut
วันที่ 14 เม.ย. 2554

ชีวิตฆราวาสของผู้ที่เป็นปุถุชนนั้น พูดมาก และส่วนใหญ่พร่ำพูดแต่ทุพภาษิต คือ พูดคำที่ไม่สมควรด้วยอำนาจของกิเลสประการต่างๆ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้รับการขัดเกลาในวินัยของพระอริยะอย่างเพียงพอ แต่พระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น แม้ทรงกล่าวไว้น้อย แต่ผู้ฟัง ฟังแล้วสามารถที่จะบรรลุอริยสัจธรรมขั้นสูงสุดถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ พระธรรมที่ทรงแสดงจึงเป็นยอดแห่งการกล่าววาจาในบรรดาวจีสุจริตทั้งหมด เพราะสามารถที่จะทำให้บุคคลระงับคำพูดที่ไม่ดีได้เป็นสมุจเฉท ตามระดับของปัญญาที่ดับกิเลสอันยังวจีทุจริตให้เกิดได้ ไม่ใช่ให้เพียงเว้นไม่กล่าว แต่ให้ถึงการที่จะไม่มีการกล่าววจีทุจริตนั้นๆ อีกต่อไปครับ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอและทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
bsomsuda
วันที่ 16 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 16 เม.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
aurasa
วันที่ 17 เม.ย. 2554
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ