ขณะได้ยิน

 
ขอธรรมทาน
วันที่  19 ธ.ค. 2553
หมายเลข  17636
อ่าน  2,822

สมมติว่า ขณะหลับตา แล้วนึกเห็นภาพแม่ ขณะนั้นเกิดจิตรู้อารมณ์ทางมโนทวาร ใช่หรือไม่ครับ นึกเห็นภาพ เป็นนาม รู้ ก็เป็นนาม ใช่มั้ยครับ ส่วนขณะได้ยิน เสียง เป็นรูป หู เป็นรูป รู้ได้ยิน เป็นนาม เป็น "โสตะวิญญาณ" ใช่มั้ยครับ หลังได้ยินแล้วปุ๊บ ขณะนั้นไม่ทุกข์ไม่สุข ขณะนั้นเกิด"อทุกขมสุข เวทนา" ต่อมาในชั่วขณะที่สั้นมากๆ เกิดรู้ว่าเป็นเสียงนก ขณะนั้นเกิด "สัญญา" ใช่มั้ยครับ ตอนนั้นเกิด "สังขาร" อะไรครับ การเจริญสติปัฏฐานใน "ธัมมานุปัสสนา" ขันธ์บรรพ คือต้องตามรู้ขันธ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาทุกขณะจิตตามนี้ใช่หรือไม่ครับ

หากเข้าใจผิดหรือไม่อย่างไร ขอท่านผู้รู้ ช่วยไขความและสอนแสดงเป็นธรรมทานด้วยเถิดครับ

ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ขอธรรมทาน
วันที่ 19 ธ.ค. 2553

ถ้าได้ยินเสียงนกแล้วเฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ไม่ได้ใส่ใจแล้วตามรู้ปัจจุบันต่อไป ขณะนั้นเกิดสังขารหรือไ่ม่อย่างไรครับ แต่ถ้าได้ยินเสียงนกแล้วหงุดหงิด รำคาญ ขณะนั้นเกิดสังขาร คือโทสะ ใช่หรือไม่ครับ

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chaiyut
วันที่ 21 ธ.ค. 2553

การศึกษาธรรมอันละเอียด สุขุม ลึกซึ้งนี้ เราควรทราบครับว่า ธรรมะ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ตัวจริงของสภาพธรรม เราจะไม่ใช้ชื่อเรียกว่าอะไรเลยสักชื่อเดียวก็ได้ แต่สิ่งนั้นก็ต้องมีจริง คือ ไม่เปลี่ยนลักษณะของตนไปเป็นอย่างอื่น คิดนึก มีจริง คิดนึกไม่ใช่ได้ยิน คิดนึกไม่ใช่ภาพแม่ แต่ที่รู้ว่าคิดถึงภาพแม่ เพราะขณะนั้นมีตัวจริงของธรรม ที่อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น คิดถึงเรื่องราวต่างๆ เราจะไม่เรียกชื่อในภาษาไทย จะไม่เรียกชื่อในภาษาบาลี หรือภาษาใดๆ เลยก็ได้ แต่สภาพนั้นก็มีจริงนี่คือตัวจริงของธรรมครับ แต่ที่ต้องมีชื่อเรียก เพราะสภาพธรรมมีมากมาย ไม่ได้มีอย่างเดียว ถ้าไม่เรียกชื่อให้เข้าใจตรงกัน ก็สนทนากันลำบาก แต่ไม่ใช่ว่าต้องเรียกชื่อธรรมก่อน ธรรมถึงจะมีจริง สภาพธรรมต่างๆ แม้ไม่เรียกชื่ออะไรเลย ก็มีจริงครับสิ่งที่มีจริงโดยแท้นั้น คือ ปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรมแบ่งเป็น ๒ อย่างโดยคร่าวๆ คือสภาพหนึ่งอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นมา แต่เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร จะเรียกในภาษาบาลีก็ได้ว่าเป็นรูปธรรม กับ อีกสภาพหนึ่งอาศัยปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้สิ่งใดๆ ที่สามารถรู้ได้ เรียกว่า นามธรรม นี่คือการเริ่มเข้าใจธรรมในเบื้องต้นครับ เข้าใจให้ถูกต้องว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ ก่อน เพราะธรรมไม่ได้เป็นแต่เพียงชื่อ ให้เรียกแต่มีสภาพจริงๆ ให้รู้ ให้เข้าใจ และให้ปัญญาที่อบรมดีแล้วพิสูจน์ได้ ส่วนการเจริญสติปัฏฐาน เป็นสิ่งที่ต้องศึกษา โดยละเอียดและตามลำดับครับ ต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจจนรู้ชัดจริงๆ ว่า ธรรมคืออะไร มีเมื่อไร ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นอนัตตาอย่างไรก่อน จากนั้นจึงจะสามารถอบรมเจริญสติปัฏฐานได้ครับ

ขอเชิญคลิกอ่าน >>

ธัมมานุปัสสนา

ขอเชิญคลิกฟัง >>

พิจารณาธัมมานุปัสสนาทำอย่างไร

ลืมไม่ได้เลยว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 24 ธ.ค. 2553

ขณะนี้อะไรกำลังปรากฏก็ให้ใส่ใจสภาพธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ ขณะนี้ กุศลก็เป็นธรรมะ เป็นสังขาร อกุศลก็เป็นธรรมะ เป็นสังขาร ฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 28 ธ.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 9 ม.ค. 2554

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
peem
วันที่ 6 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 22 ม.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ