ชาตินี้ ชาติหน้า

 
pirmsombat
วันที่  27 ส.ค. 2553
หมายเลข  17048
อ่าน  2,103

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

... เพราะฉะนั้น แต่ละท่านก็ลองพิจารณาตนเอง จะคิด จะพูด จะทำ จะชอบ จะไม่ชอบสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียวนะคะ แต่ว่าต้องเคยคิดเคยทำ เคยพูด เคยชอบ เคยไม่ชอบอย่างนั้นๆ มาแล้วในอดีต จนกระทั่งเป็นปัจจัยทำให้เกิดคิด พูดหรือทำให้ขณะนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ว่าจะด้วยกุศลจิตหรืออกุศลจิตประเภทใดๆ ก็ตาม ทั้งนี้ก็เพราะว่า โดยปกตูปนิสสยปัจจัย

ข้อความใน อรรถกถา มหานิบาต มโหสถชาดกที่ ๕

มโหสถทูลพระเจ้าวิเทหราชว่า "คนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ ไม่เห็นโลกหน้าเป็นปกติ" เพียงสั้นๆ นี้ แต่ก็เป็นชีวิตประจำวันของทุกๆ คน ที่ว่านี้ ทุกคน โลภ ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชีวิตประจำวัน ก็เพราะเห็นความสำคัญในโลกนี้เท่านั้น

ถ้าต้องการลาภ ต้องการยศ ต้องการสรรเสริญ ต้องการสักการะ จะติดตามไปถึงโลกหน้าได้ไหมคะ

ลาภที่ปรารถนานักในโลกนี้ แม้แต่ยศและสรรเสริญไม่สามารถติดตามไปได้เลย แต่ทำไมจึงติดในในลาภ ยศ สรรเสริญ ในสักการะ เพราะว่า คนพาลเห็นโลกนี้เป็นปกติ คือคิดถึงฉพาะโลกนี้ที่กำลังเป็นอยู่เท่านั้น จนกระทั่งสามารถ จะกระทำทุจริตต่างๆ หรืออาการที่เป็นไปเพราะอกุศลจิตต่างๆ ด้วย โลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เพราะ ไม่เห็นโลกหน้าเป็นปกติ

ถ้ามีมานะ มีความสำคัญตนในโลกนี้ ในชาตินี้ ในลาภ ในยศ ในสรรเสริญ ในสักการะ ชาติหน้าลองคิดดูสิคะ ว่าจะหนาแน่นขึ้นอีกเท่าไร ที่จะเป็นผู้ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ ในสักการะ ยากแก่การที่จะสละ ที่จะคลาย เพระว่าชาตินี้ไม่ยอมคลายความติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ

เพราะฉะนั้น แต่ละขณะซึ่งเกิดขึ้นเป็นอกุศลแล้วดับไป ก็เป็นปกตูปนิสสยปัจจัยที่จะทำให้อกุศลจิตนั้นๆ เกิดในอนาคตข้างหน้า เพราะฉะนั้น โลภมูลจิตที่เกิดเพียงขณะนิดเดียวเป็น อุปนิสสยปัจจัยที่จะทำให้เกิดอกุศลธรรมข้างหน้าอีก

มีข้อสงสัยอะไรบ้างไหมคะ เชิญค่ะ

ท่านอาจารย์ อย่างที่ได้เรียนให้ทราบว่า สังสารวัฏฏ์ยืดยาวจนกระทั่งทุกคนเคยป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนพิการก็เคย เป็นพระมหากษัตริย์ก็เคย เป็นคนสวยก็เคย ทั้งหมด แต่ว่าไม่ซ้ำกันนะคะ เพราะว่า ภพหนึ่งชาติหนึ่งสั้นมาก และจะไม่ย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้อีก

มีข้อสงสัยไหมคะ ในเรื่องของ ปกตูปนิสสยปัจจัย เชิญคะ

คุณประวิทย์ เมื่อกี้อาจารย์กล่าวว่า คนพาลเห็นชาตินี้เป็นปกติ และบัณฑิต เห็นอย่างไร

ท่านอาจารย์ บัณฑิตก็ต้องคำนึงถึงชาติต่อไปและโลกหน้าด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะชาตินี้ เช่น โลภมูลจิต ที่ติดในลาภ ในสรรเสริญ ในยศ ในสักการะ ถ้าเป็นบัณฑิตก็จะคิดถึงว่าถ้าไม่รีบละเสียตั้งแต่ในชาตินี้ ชาติต่อไปจะละยากสักแค่ไหน

แต่ถ้าเป็นคนพาลนะคะ ลาภเท่าไรไม่พอ ต้องทำทุจริตกรรม เพื่อที่จะให้ได้ลาภอย่างนั้นๆ หรือว่า สรรเสริญก็ติด ต้องการที่จะได้รับการสรรเสริญมากๆ แต่การที่จะเป็นบุคคลนี้ ชั่วระยะเวลาที่สั้นมากเหลือเกิน สรรเสริญในการเป็นบุคคลนี้ไม่เท่าไร ก็จะต้องจากคำสรรเสริญไป และไม่มีวันที่จะได้รับคำสรรเสริญอย่างนั้นอีก เพราะว่าเป็นบุคคลอื่นเสียแล้ว แต่ว่าสำหรับบุคคลผู้เป็นบัณฑิต ก็ย่อมเห็นว่าอกุศลแต่ละขณะที่เกิดขึ้นจะสะสมสืบต่อไปถึงชาติต่อๆ ไปด้วย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 27 ส.ค. 2553

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สมศรี
วันที่ 27 ส.ค. 2553
ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
bsomsuda
วันที่ 27 ส.ค. 2553

"สำหรับบุคคลผู้เป็นบัณฑิต

ก็ย่อมเห็นว่าอกุศลแต่ละขณะที่เกิดขึ้น

จะสะสมสืบต่อ ไปถึงชาติต่อๆ ไปด้วย"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
อินทิรา
วันที่ 28 ส.ค. 2553

เป็นข้อความที่ซาบซึ้งมากค่ะและจะฟังเพื่อเป็นข้อคิดเครื่องเตือนใจทุกครั้งที่มีโอกาส

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 28 ส.ค. 2553

เป็นเครื่องเตือนใจที่ดีอย่างยิ่ง ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณหมอด้วยนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pirmsombat
วันที่ 28 ส.ค. 2553

ขอบคุณมากและขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ