๔ วันในพุทธคยา๕

 
kanchana.c
วันที่  20 มี.ค. 2553
หมายเลข  15771
อ่าน  4,427

สู่สุวรรณภูมิ
......และวันสุดท้ายที่จะอยู่ในคยาก็มาถึง วันนี้วันที่ ๒ ก.พ. ๕๑ ต้องตื่นแต่เช้าเช่นเดิม แม้เครื่องบินจะออกเวลา ๐๙.๓๐ น. และสนามบินก็อยู่ใกล้นิดเดียว จึงต้องเตรียมเก็บกระเป๋าตั้งแต่เมื่อคืนให้เรียบร้อย เตรียมแต่เสื้อผ้าเครื่องกันหนาวไว้ใส่ในตอนเช้าเท่านั้น เมื่อตื่นขึ้นมา อากาศหนาวเย็นกว่าวันก่อนๆ แต่ไม่มีหมอกหนา

มองไปที่ประตูโรงแรมที่ปิดไว้ เห็นเด็กมาขอทานยืนเบียดเสียดกันที่หน้าประตู ส่งเสียงเซ็งแซ่ มีหลายท่านในคณะวิ่งเข้าวิ่งออกเอาของไปแจก แจกจนวินาทีสุดท้ายจริงๆ บางท่านก็เอาน้ำขวดที่ทางทัวร์แจกให้ดื่มไปแจกเด็กๆ เห็นเด็กๆ ผิวคล้ำ ผมดำยืนเบียดเสียดกันอย่างนั้น อดคิดถึงเมื่อตอนไปให้อาหารปลาหน้าวัดไม่ได้ ดูไม่แตกต่างกันเลย เด็กเหล่านี้จะซาบซึ้งในพระพุทธคุณบ้างไหมว่า ที่เขาได้รับของแจกอย่างนี้ เป็นเพราะมีพุทธคยา เพชรน้ำงามที่สุดของโลกตั้งอยู่ที่นี่ ทำให้ชาวพุทธทั่วโลกเดินทางไปกราบนมัสการ

เมื่อถึงสนามบินผ่านขั้นตอนการตรวจที่เข้มงวด ไม่เป็นระเบียบขั้นตอน เสียเวลานานมาก แต่ในที่สุด....ก็ได้นั่งแอร์อินเดียกลับบ้านเหมือนขามา นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อ ๓ วันก่อน รู้สึกว่ากุศลที่ได้เจริญมากที่สุด คือ อนุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา พลอยยินดีในกุศลของบุคคลอื่น ท่านทั้งหลายขยันเจริญกุศลกันจริงๆ พบหน้าบางท่านอยากจะพูดคำว่า “อนุโมทนา” แทนคำว่า “สวัสดี” เสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดไปจริงๆ มาคราวนี้ได้เดินดูอะไรๆ ในบริเวณพระเจดีย์ทั่วไปหมด อาจเป็นกำหนดการหลวมๆ มีเวลาเหลือ ไม่อย่างนั้น จากตรงนั้นก็พากันขึ้นรถไปที่อื่นต่อ ไม่ได้เห็นอะไรมากนัก แม้อย่างนั้นก็ยังไม่เห็นเมืองคยาอยู่ดี หรือจะเป็นตรงตลาดที่รถจอดให้สุขา เมื่อตอนเดินทางไปกรุงราชคฤห์ การได้เห็นบรรยากาศ ผู้คนที่ยากจนอย่างใกล้ชิดนั้น ทำให้ซาบซึ้งในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้น

เมื่อได้อ่านประวัติพุทธสาวกหลายท่าน เช่น ท่านบัณฑิตสามเณรลูกศิษย์ของท่านพระสารีบุตร ท่านมีอายุเพียง ๗ ขวบ เดินตามท่านพระสารีบุตรไปบิณฑบาต เห็นคนไขน้ำเข้านา และช่างศรดัดลูกศร ท่านคิดว่า คนมีจิตควรฝึกจิต จึงขอกลับไปปฏิบัติสมณธรรม และท่านอยากฉันปลาตะเพียน แต่ท่านพระสารีบุตรไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่ สามเณรกล่าววาทะเด็ดที่คนใกล้ชิดนำมาใช้บ่อยๆ ว่า “ถ้าไม่ได้ด้วยบุญของท่านอาจารย์ ก็จักได้ด้วยบุญของกระผม” เมื่อท่านกลับมาปฏิบัติสมณธรรม มีผู้ช่วยเหลือท่านมากมายตั้งแต่ พระผู้มีพระภาค ท้าวสักกะ เทวดาผู้รักษาประตู ผู้รักษาพระอาทิตย์ และในที่สุดท่านก็บรรลุอรหัต (เรื่องนี้สนุกมาก ควรอ่านเอง จะได้ตรวจสอบว่าเรื่องที่เล่านี้ถูกต้องหรือไม่ด้วย) ในอดีตชาติในสมัยพระผู้มีพระภาคทรงพระนามว่า กัสปะ ท่านเกิดเป็นคนยากจนอย่างยิ่ง จนมีชื่อว่า มหาทุคตะ เมื่อพระผู้มีพระภาคพร้อมกันพระภิกษุ ๕๐๐ รูป จะเสด็จมาฉันภัตตาหารในเมืองที่ท่านอยู่ ท่านผู้หนึ่งต้องการบุญทั้ง ๒ ส่วน คือ ทั้งบริวารสมบัติและทรัพย์สมบัติ ได้ชักชวนให้มหาทุคตะถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสักหนึ่งรูป ท่านก็บอกว่า ท่านเป็นคนยากจน เป็นอยู่ด้วยการรับจ้างทำงานหาเลี้ยงชีพไปวันๆ จะเอาอะไรไปถวายได้ ผู้ชักชวนเป็นคนฉลาด บอกกับท่านว่า ที่เกิดมายากจนเช่นนี้ เพราะไม่เคยทำบุญไว้ เมื่อท่านได้ยินดังนั้น ก็เห็นจริงด้วย จึงตกลงถวายภัตตาหารแก่ภิกษุสงฆ์ ๑ รูป แต่ผู้ชักชวนเห็นว่ามีจำนวนน้อยก็เลยไม่ได้ลงบัญชีชื่อท่านไว้ เมื่อท่านกลับไปบอกภรรยา ภรรยาของท่านก็ร่าเริงยินดีออกไปรับจ้างด้วยความสุข ทำการฝัดกระด้งข้าวราวกับรำ ตัวท่านก็ออกไปรับจ้างเหมือนกัน เมื่อได้ข้าวมา เก็บผักมาแล้ว ยังไม่มีอาหารอื่น จึงไปรับจ้างร้อยปลาตะเพียนด้วยความสุข ทำงานไปร้องเพลงไป เมื่อปลาตะเพียนหมด ผู้ว่าจ้างของท่านก็ให้ปลาตะเพียน ๔ ตัวที่ฝังไว้ในโคลนเป็นรางวัล เมื่อปรุงอาหารเรียบร้อยโดยฝีมือของท้าวสักกะ มหาทุคตะก็ไปขอภิกษุจากผู้ที่ชักชวนท่าน ปรากฏว่าไม่มี เพราะไม่ได้ลงบัญชีไว้ ท่านเสียใจมาก มีความรู้สึกเหมือนถูกทำร้ายที่หัวใจ จึงมีผู้แนะนำท่านให้ไปกราบที่พระคันธกุฎีขอให้พระผู้มีพระภาคทรงมอบบาตรให้ท่านเพื่อไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ในขณะนั้นก็มีพระเจ้าแผ่นดิน มหาเศรษฐีตระกูลต่างๆ รวมอยู่ด้วย แต่พระผู้มีพระภาคทรงเห็นมหาทุคตะในข่ายพระญาณ ก็ทรงมอบบาตรให้มหาทุคตะ จะเห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิ์คุณ ผู้ทรงหมดจดจากกิเลส และพระมหากรุณาคุณอย่างยิ่งของพระผู้มีพระภาค เพราะขนาดเราๆ เป็นคนธรรมดา ไม่ใช่โอรสกษัตริย์ ไม่ใช่พระธรรมราชาอย่างพระองค์ ก็ยังรังเกียจแม้อาหารที่วางขายข้างทาง อย่าว่าแต่ต้องไปรับประทานที่บ้านของคนจัณฑาลเลย ทำให้มั่นคงในการทำกุศลมากขึ้นว่า กุศลเท่านั้นที่จะช่วยทุกอย่าง แม้จะพลาดพลั้งตกต่ำเกิดเป็นคนจัณฑาล ถ้าทำกุศลไว้ก็มีผู้ช่วยเหลือเสมอ

เมื่อมองเด็กขอทานใกล้ๆ สังเกตดูว่ามีคิ้วและตาสวยมาก เหมือนเผ่าพันธุ์ของชาวภารตะทั่วไป คือ มีคิ้วเข้มได้รูปเรียวยาว มีตาดำใหญ่ ขนตายาวงอน แต่เมื่อสิ่งสวยงามมาอยู่กับเด็กที่ไม่ได้ทำความสะอาด ขี้มูก ขี้ตาเกรอะกรัง ขนตานั้นแทนที่จะยาวงอน กลับสานกันดูระเกะระกะด้วยขี้ตาและฝุ่น ผมเผ้าก็สกปรกเป็นสังขะตัง มีผิวเหมือนตอไม้ถูกไฟไหม้ ทำให้คิดถึงคำว่า “ราวกับปีศาจคลุกฝุ่่น” ในเรื่องของท่านโลสกติสสเถระ ที่ท่านเป็นภิกษุผู้มีลาภน้อย ไม่เคยได้ฉันอาหารอิ่มสักมื้อเดียว เพราะเคยทำลายลาภของพระภิกษุ อาคันตุกะ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ โดยเผาทำลายอาหารบิณฑบาต ที่โยมอุปัฏฐากฝากมาถวาย เนื่องจากท่านมีความตระหนี่ในตระกูลอุปัฏฐาก ไม่อยากให้ไปเลื่อมใสภิกษุรูปอื่น หลังจากชาตินั้นท่านก็ตกนรกเป็นเวลานาน เมื่อมาเกิดในชาติสุดท้าย ได้เกิดเป็นลูกจัณฑาล มีรูปร่างเหมือนปีศาจคลุกฝ่น มีความอดอยากหิวโหยมาก ในวันที่ท่านปรินิพพานนั้นท่านได้ฉันอาหารจนเต็มท้องเป็นครั้งแรก เพราะท่านพระสารีบุตรอุ้มบาตรไว้ให้ มิฉะนั้น อาหารในบาตรนั้นจะหายไป ท่านได้รับอกุศลวิบากอย่างหนักเพราะทำกรรมหนัก เนื่องจากความริษยาหวงแหน แต่ท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะท่านได้สะสมกุศลที่ประกอบด้วยปัญญาในอดีตชาติไว้จนเต็มเปี่ยมเช่นกัน

อีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องพราหมณ์ชื่อเอกสาฎก ที่ท่านและภรรยามีผ้าห่มเพียงผืนเดียว เมื่อไปฟังธรรมจะไปพร้อมกันไม่ได้ ภรรยาของท่านจึงไปเวลากลางวัน ส่วนตัวท่านไปเวลากลางคืน เมื่อท่านฟังธรรมเข้าใจ อยากจะถวายผ้าห่มที่มีเพียงผืนเดียวเป็นการบูชาธรรม ท่านก็ให้ไม่ได้ ซึ่งก็น่าเห็นใจมาก เพราะอากาศเวลากลางคืนก็คงจะหนาวเย็นอย่างที่เราเห็น เมื่อให้ไปแล้ว ภรรยาก็จะไม่มีห่ม ในที่สุดท่านก็ชนะความตระหนี่เมื่อเวลาผ่านไปถึงเที่ยงคืน ถวายผ้าห่มผืนนั้น ซึ่งเมื่อนึกภาพผ้าห่มซึ่งมีเพียงผืนเดียว คงจะไม่มีเวลาซักให้สะอาด แต่ด้วยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิ์คุณ และพระมหากรุณาคุณ พระผู้มีพระภาคก็ทรงรับเพื่ออนุเคราะห์ท่าน ถ้าเป็นเราคงจะบอกว่า เก็บไว้ใช้เองเถอะ มีเพียงผืนเดียวเท่านั้น เห็นหรือยังว่า ธรรมของสัตบุรุษ (ท่านผู้หลุดพ้นแล้ว) และอสัตบุรุษ (เช่นเรา) ห่างไกลกันราวกับฟ้าและดิน

การที่จะซาบซึ้งในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณนั้น ต้องเกิดจากการได้ศึกษาพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ถ้าไม่เคยรู้เรื่อง ก็จะนึกไม่ออกว่า ทรงประกอบด้วยพระคุณทั้ง ๓ นั้นคืออย่างไร ดังนั้น ปริยัติจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องอ่าน ต้องฟัง ต้องศึกษา แม้จะยังเข้าไม่ถึงขั้นปรมัตถธรรม แต่เมื่อได้อ่านพุทธประวัติ ประวัติพระสาวกต่างๆ ทำให้เข้าใจชีวิตที่วนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์ เกิดเป็นบุคคลต่างๆ มีทั้งความสุข และความทุกข์ ทุกคนเคยเป็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคนจัณฑาล คนใหญ่โตอย่างไร

ดังนั้นจึงไม่ควรดูหมิ่นเหยียดหยามคนที่ต่ำกว่า เพราะเราก็เคยเป็นอย่างนั้นเหมือนกันและไม่ควรเกรงกลัวคนที่สูงกว่าจนเกินไป เพราะเราก็เคยเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ท่านสอนว่า เมื่อเห็นกันอยู่ ก็ควรเมตตาเอ็นดูกันว่า เป็นเพื่อนร่วมเดินทางในสังสารวัฏฏ์ มีความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทุกคน

ในการไปพุทธคยาครั้งนี้ มีความรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป คือไม่ได้ร่วมฟังสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ เพราะเดินทางไปที่ไหนก็ตามกับท่าน จะมีการสนทนาธรรมทุกครั้ง แต่เราเลือกไปกราบพระคันธกุฎี ที่กรุงราชคฤห์แทน จึงไม่ได้ฟังเสียงไพเราะ อ่อนโยนด้วยเมตตาจิต การตอบปัญหาด้วยปฏิภาณที่เฉียบแหลม แสดงถึงความเข้าใจพระธรรมอย่างลึกซึ้งของท่าน ท่านอาจารย์เป็นบุคคลที่หาได้ยากในโลกปัจจุบัน ท่านเปรียบประดุจแสงเทียนที่ส่องทางในความมืด เราเห็นแต่แสงเทียน แม้รู้ว่านี่คือทาง แต่ยังเห็นไม่ชัด เพราะดวงตายังมืดมัวด้วยอวิชชา คงต้องอบรมเจริญปัญญาขั้นการฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพัฒนาไปเองตามเหตุปัจจัย

คิดย้อนไปได้ไม่กี่เรื่องก็ถึงสุวรรณภูมิแล้ว การเดินทางจากสุวรรณภูมิไปพุทธคยาช่างสะดวกสบายจริงๆ

ในวันอาทิตย์ที่ ๓ ก.พ. ๕๑ หลังจากกลับพุทธคยาได้ ๑ วัน ท่านอาจารย์ได้เล่าถึงพิธีถวายผอบเจดีย์ให้ทุกคนได้ร่วมอนุโมทนา ท่านบอกว่า ผอบเจดีย์นี้ประมาณค่าไม่ได้ เพราะไม่ได้นำรัตนชาติต่างๆ ที่คนนำมาถวายไปตีราคา แต่จำนวนเงินที่คนบริจาคนั้นมีจำนวนมาก ครั้งแรกคิดว่าจะถวายเป็นค่าไฟฟ้า เพื่อเปิดส่องสว่างเจดีย์พุทธคยา เป็นเวลา ๓ เดือน แต่เมื่อทราบจาก พลตรี ดร. วีระ พลวัฒน์ว่า ห้องสมุดของสมาคมมหาโพธิ์ที่สารนาถ ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยของ ท่านธรรมปาละนั้นที่อายุนานนับ ๑๐๐ ปี บัดนี้เก่าทรุดโทรมมาก สมควรที่จะบูรณะซ่อมแซมให้คงอยู่ในสภาพเดิม ท่านอาจารย์จึงคิดว่า น่าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์มากกว่า จึงบริจาคค่าไฟฟ้าเพียง ๓ คืน แล้วนำเงินที่เหลือมาซ่อมแซมห้องสมุดแทน ซึ่งเมื่อซ่อมแซมเสร็จ ก็หวังว่าจะมีการถวายให้สมาคมมหาโพธิ์ที่สารนาถเหมือนในครั้งนี้ และขอโอกาสที่จะได้ร่วมมหากุศลที่ยิ่งใหญ่นี้เช่นเคยค่ะ

ขอบคุณอาจารย์ฉัตรชัย กิติพรชัย ที่มีศรัทธาเผยแพร่พระธรรมตามพระไตรปิฎกให้คงอยู่นานเท่านาน ท่านได้บริจาคบ้านของท่านที่จังหวัดเชียงใหม่เป็น “บ้านธัมมะ” และ จัดทำเว็บไซต์ Dhammahome.com ขอบคุณทีมงานทุกท่านที่มีศรัทธาสละทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ กำลังความคิด ช่วยกันทำให้เว็บไซต์นี้ให้น่าสนใจอย่างยิ่ง

ขอบคุณคุณวีระยุทธ สันตยานนท์ ที่เมตตาช่วยจัดรูปแบบพร้อมเพิ่มเติมสีสันด้วยรูปภาพที่เหมาะเจาะ ทำให้น่าอ่านขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเท่า ขอบคุณผู้อ่าน และท่านที่เขียนมาให้กำลังใจ ท่านคงไม่ทราบหรอกว่า ดิฉันต้องการกำลังใจอย่างมาก (ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า “บ้ายอ”) เพราะดิฉันเรียนทางสถิติ และทำงานเลี้ยงชีพด้วยการสอนคณิตศาสตร์ และสถิติ ไม่มีความสนใจ ในเรื่องการขีดเขียนแต่อย่างใดมาก่อนเลย เพียงแต่เป็นคนชอบอ่าน โดยเฉพาะนิยาย นิทานธรรม เรื่องชาดกต่างๆ เมื่อท่านอาจารย์อนุญาตให้พิมพ์หนังสือเล่มแรกในชีวิต คือ “มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา” ในนามของมูลนิธินั้น คิดว่าคงเป็นเหตุบังเอิญที่เกิดเขียนได้ดีพอสมควรราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาช่วยเขียน เมื่อเขียนเรื่องต่อไป จึงไม่มั่นใจว่ายังมีมือที่มองไม่เห็นมาช่วยอยู่หรือไม่เกรงว่าจะทำให้รกกระดานสนทนา เมื่อทราบว่า มีผู้ได้รับประโยชน์จากการเขียนบ้างจึงมีกำลังใจเขียนต่อไป ขอบคุณจริงๆ ค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
saifon.p
วันที่ 24 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ups
วันที่ 24 มี.ค. 2553

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 24 มี.ค. 2553

... กราบอนุโมทนาค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 25 มี.ค. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ด้วยครับ เป็นการเล่าเรื่องราวความเป็นจริง ของสถานที่ ประวัติศาสตร์ และชีวิตของเพื่อนมนุษย์ โดยได้สอดแทรกอรรถรสของธรรมะได้กลมกลืน มีสาระที่อาจน้อมนำมาสอนตัวเองได้เป็นอย่างดีครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
sumek
วันที่ 26 มี.ค. 2553

ธรรมะเกิดขึ้นทุกขณะ ทีละขณะ ตามเหตุปัจจัย ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
panasda
วันที่ 27 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
raynu.p
วันที่ 28 มี.ค. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุรศักดิ์
วันที่ 22 ต.ค. 2553
ได้รับสาระประโยชน์มากที่ได้อ่าน ขออนุโมทนาด้วยครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
phawinee
วันที่ 19 พ.ย. 2553

อนุโมทนาด้วยค่ะ เมื่อเห็นแล้วก็ย้อนกลับมามองตัวเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
somjad
วันที่ 24 ก.พ. 2554

อนุโมทนาครับ ได้ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้จัดตั้งเวปไซต์นี้ และบริจาคบ้านด้วย ผมเองก็พลอยปิติ ในกุศลของท่านด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
guy
วันที่ 13 มี.ค. 2554

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
bunphon
วันที่ 11 ก.ย. 2554

ผมก็ขออนุโมทนาสาธุจริงจริงปิติ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 20 ธ.ค. 2554
ขอขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เข้าใจ
วันที่ 25 พ.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตกุศลเจตนาของทุกๆ ท่านครับ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Thita
วันที่ 11 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

ขออนุโมทนาและขอบพระคุณผู้เขียนค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
thassanee
วันที่ 6 ก.ย. 2555

ขอบคุณผู้เขียนค่ะ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
peem
วันที่ 13 พ.ย. 2556

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ