๔ วันในพุทธคยา๓

 
kanchana.c
วันที่  20 มี.ค. 2553
หมายเลข  15769
อ่าน  5,919

สู่กรุงราชคฤห์

วันที่สองของการเดินทาง คือ วันพฤหัสที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๑ คณะเดินทางถูกแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่ม ตามความสมัครใจ กลุ่มหนึ่งอยู่สนทนาธรรมที่โรงแรมหรือที่พุทธ คยา กับอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางไปกรุงราชคฤห์ เพื่อนมัสการพระคันธกุฎี บนยอดเขา คิชฌกูฏ ดิฉันและสามีขออยู่ในกลุ่มที่ ๒ ทั้งๆ ที่อยากจะสนทนาธรรมด้วย แต่สามียังไม่ เคยไปเขาคิชฌกูฏ จึงตื่นกันแต่เช้า เดินไปดูบรรยากาศยามเช้าที่หน้าต่าง เ ห็นแต่ หมอกหนามาก มองได้ในระยะไม่กี่เมตร ไม่เห็นทุ่งนาที่อยู่หน้าโรงแรม อากาศข้างนอก คงจะหนาวมาก จึงเตรียมตัวใส่เสื้อผ้าหลายๆ ชั้น และเตรียมใส่เสื้อไว้ในเป้เผื่อหนาว ความจริงคิดว่าถ้าอุณหภูมิประมาณ ๑๕ องศา เสื้อผ้าที่นำมาจะเอาอยู่ แต่นี่คิดว่าต่ำ กว่านั้น มีคนบอกว่า ประมาณ ๕ องศา ตอนแรกกะจะเอาเสื้อกันหนาวที่หนาที่สุดที่มีมา ด้วย แต่ใส่กระเป๋าไม่หมด เลยเอาเสื้อยืดใส่ข้างในมาหลายๆ ตัวแทน ก็ช่วยได้บ้าง แต่ ก็รุ่มร่ามรุงรังไปหมด

คณะของเราประกอบด้วย รถบัส ๒ คัน ระยะทางจากพุทธคยา ไปกรุงราชคฤห์ ประมาณ ๘๐ กม. แต่สภาพถนนยังไม่ดี และหมอกหนาอย่างนี้ คุณสุวัฒบอกว่าคงใช้ เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง รถแล่นผ่านวัดไทยพุทธคยา ที่พวกเราที่มาก่อนพักอยู่ที่นี่ ๘ คน สมาคมมหาโพธิ วัดพม่า ข้ามแม่น้ำเนรัญชรา เห็นป้ายภาษาไทยว่า “วัดเนรัญชรา” ชัดเจน รถแล่นผ่านตลาด มีชาวบ้านแบกกระจาดใส่กระหล่ำ ดอกใหญ่มากๆ ดูน่ากิน ข้างทางมีผู้ชายขายผักอยู่หลายร้านสังเกตดูว่าผักที่นี่สดและมีขนาดใหญ่ทั้งนั้น แสดง ว่าดินคงดี แต่ไม่น่าซื้ออะไรเลย เพราะตลาดไม่สะอาด มีขยะเต็มไปหมด ทุกแห่งมีแต่ ขยะ ทำไมไม่มีเจ้าหน้าที่ทำความสะอาดเลยหรืออย่างไร แล้วเขาอยู่กันได้อย่างไรกัน สกปรกอย่างนี้ แต่ก็ยังเห็นชายชราคนหนึ่งกวาดขยะที่หน้าร้านของตนเองเหมือนกัน ที่ ตลาดรถของเราต้องจอดรอรถอีกคัน มีผู้สนใจที่จะสุขาหลายคน คุณสุวัฒบอกว่าลงไป ได้เลย เราก็งงๆ ว่า กลางตลาดอย่างนี้หรือ? ไม่เห็นมีต้นไม้อะไรที่จะกำบังตัวเลย แต่ คิดว่าคนอื่นทำได้ เราก็ต้องได้เหมือนกัน เห็นกลุ่มหนึ่งขึงผ้าข้างรถเก่าที่จอดอยู่ ดูจะ เป็นทำเลที่ดี แต่แขกที่ยืนเคี้ยวไม้สีฟันอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่พอสมควร กวักมือเรียกให้ เข้าไปในบ้าน ก็ลังเล แต่เขาเรียกแล้วเรียกอีก เรากับสามีก็เลยเข้าไป พบคุณมานิตย์ กับ คุณจันทนี ใช้บริการอยู่ก่อนแล้ว เลยสบายใจได้ใช้ห้องน้ำ ที่มีชักโครก สะอาด สะอ้านเป็นครั้งแรกในการเดินทาง ในอินเดีย ที่ไม่ใช่ในโรงแรม คุณมานิตให้เงินเด็ก ผู้หญิงเจ้าของบ้าน ๓ คน แต่เขาไม่ยอมรับ เลยให้ยาหม่องตราลิงและปากกาลูกลื่น ที่ เป็นที่ชื่นชอบของคนอินเดีย ที่บ้านนี้คงจะทำธุรกิจตัวแทนน้ำอัดลม เพราะเห็นลังน้ำ อัดลมยี่ห้อต่างๆ วางอยู่เต็ม เด็กผู้หญิงก็เรียนวิทยาลัย ดูเป็นมิตร และใจดี โชคลาภ แท้ๆ แปลกดีนะคะ เรื่องได้เข้าห้องน้ำสะอาดก็ถือเป็นโชคลาภมหาศาลแล้วในอินเดีย เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ไปไหนแล้วหาที่จอดรถได้ รู้สึกว่าเป็นโชคลาภจริงๆ

คุณสุวัฒ เจ้าของบริษัททัวร์ผู้นำคณะมูลนิธิฯ มาอินเดียมากกว่า ๓๐ ปี บอกว่า คน จะมาอินเดียได้ ต้องมี ๔ อย่าง คือต้องมีเงิน มีเวลา มีสุขภาพแข็งแรง และมีศรัทธา แต่เราว่าต้องมีศรัทธาก่อน เมื่อมีศรัทธาแล้วอย่างอื่นหาไม่ยาก ไม่มีเงินก็หาได้ เวลาก็ พอจะจัดได้ สุขภาพไม่ไหวนั่งรถเข็นก็ได้ ถ้ามีเงิน มีเวลา สุขภาพแข็งแรง แต่ไม่มี ศรัทธา ก็คงจะไม่มาอินเดียแน่นอน มีเพื่อนร่วมงานหลายคนสงสัยว่า มาอินเดียทำไม บ่อยๆ ได้ยินว่าการเดินทางก็ลำบาก บ้านเมืองก็ไม่สะอาด แต่เขาเหล่านั้นไม่ทราบ หรอกว่า เมื่อได้กราบนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ แล้ว จิตใจปลาบปลื้มปีติอย่างไร และนึกถึงครั้งไร ก็เกิดกุศลจิตทุกครั้ง ไม่เหมือนไปเที่ยวทั่วๆ ไป ที่ไม่มีอะไรประทับใจ เห็นแล้วไม่นานก็ลืม แต่ถ้าเขาไม่สนใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คง ไม่มีศรัทธาที่จะมากราบนมัสการสังเวชนียสถานทั้ง ๔ นี้เลย ต้องขอบคุณที่ได้กระทำ บุญไว้แต่ปางก่อน จึงทำให้มีศรัทธาที่จะศึกษาพระธรรม และนำมาประพฤติปฏิบัติใน ชีวิตประจำวันได้บ้างตามความเข้าใจ

คุณสุวัฒพูดถึงการไปเที่ยวภูฐาน หลายคนในรถรีบยกมือจองที่ เพราะอยากไปดู ประเทศที่ยังบริสุทธิ์ รักษาธรรมชาติขนบธรรมเนียมประเพณีไว้อย่างดี ประชาชนมี ความสุข เราอยากไปภูฐานมาก จนต้องถามตัวเองว่า ทำไมถึงอยากเห็นสิ่งโน้นสิ่งนี้ ที่ต้องสวยงาม และต้องแปลกไปจากความเคยชิน ที่เรียกกันว่า ไปเปลี่ยนบรรยากาศ ทำไมนะ ก่อนไปก็ต้องเหนื่อยกับการเตรียมตัว กลับมาแล้วก็เหนื่อยเพลียจากการเดิน ทาง เห็นสิ่งที่อยากเห็นแล้วก็หมดไป เหลืออยู่แต่ในเพียงความคิด ซึ่งนานเข้าก็จำไม่ ได้ ได้อ่านคำบรรยายตอนหนึ่งของท่านอาจารย์ว่า เมื่อไรที่เห็นแล้ว รู้ว่าสภาพเห็น ต่างจากสิ่งที่ปรากฏทางตา สภาพคิดเมื่อเห็นต่างจากสภาพเห็น ถ้าเห็นได้อย่างนี้เมื่อ ไร การเห็นนั้นจึงจะประเสริฐ เราก็คงจะต้องฟังอีกนานแสนนานจึงจะประจักษ์แจ้ง สภาพธรรมที่ปรากฏให้พิสูจน์อยู่ตลอดเวลา กว่ารถจะแล่นถึงเขาคิชฌกูฏก็เกือบเที่ยง แล้ว พวกเราได้รับความอนุเคราะห์จากนางฟ้าใจดีหลายคน มีคุณชื่นทิพย์ เจ้าของร้าน สะดวกซื้อเคลื่อนที่ ที่นำอาหารมาแจกมากมาย คุณเหน่งผู้มีใจบริการ นำแจกถึงที่ ไม่ ต้องรอให้หิวเลย และอีกหลายๆ คนก็นำอาหารที่ติดตัวมาแจกกัน ขออนุโมทนาในกุศล ครั้งนี้นะคะ เพราะผู้ให้อาหาร ชื่อว่า เป็นผู้ให้กำลัง และกำลังที่ได้นี้ ก็จะทำให้สามารถ เดินไปทำกุศลบนยอดเขาคิชฌกูฏได้

ก่อนจะถึงเขาคิชฌกูฎ คุณสุวัฒบอกว่า ให้เข้าสุขาเสียที่ข้างทางเลย เพราะห้อง น้ำที่เชิงเขานั้นไม่สะอาด และมีจำนวนน้อยมาก ถ้าต้องเข้าคิวคอยกันคงเสียเวลา พวก เราจึงลงไปยังป่าละเมาะข้างทาง ซึ่งมีพุ่มไม้เตี้ยๆ มากมาย เราบอกคนอื่นๆ ว่า ระวัง เหยียบกับระเบิดนะ แล้วตัวเองก็มองหาทำเลเหมาะๆ ปรากฏว่า เหยียบกับระเบิดเข้า เต็มเท้า รู้สึกขยะแขยงพะอืดพะอมมาก โชคดีที่มีน้ำขวดที่แจกให้ดื่ม เลยเอามาล้าง รองเท้า มิฉะนั้น เพื่อนร่วมรถจะต้องร่วมได้รับอกุศลวิบากทางจมูกด้วยแน่ๆ แม้กระนั้น ตัวเองก็ยังรู้สึกว่ามีกลิ่นติดเท้าอยู่ตลอดเวลา ดูซิคะ เมื่อไม่นานมานี้เอง ยังกระหยิ่ม ยินดีในโชคลาภของตัวเองที่ได้เข้าห้องน้ำมีชักโครก แต่ตอนนี้ก็สุดๆ เหมือนกัน รู้จาก การฟังว่าความไม่เที่ยงคือทุกขณะ แต่ปัญญายังไม่เห็นถึงขั้นนั้น เห็นแต่ขั้นหยาบๆ ว่า จิตในตอนเช้ากับในตอนนี้ต่างกันสุดขั้ว

เมื่อถึงเชิงเขาคิชฌกูฏ บางกลุ่มก็ขึ้นเสลี่ยงหามขึ้นไป เขาคิดค่าบริการไปกลับ ๘๐๐ รูปี แต่เราคิดว่า ยังเดินขึ้นไหว ทางเดินขึ้นก็ทำสวยงามดีกว่าครั้งก่อนๆ ที่มา ตาม บันไดทางขึ้นมีขอทานนั่งตามขั้นบันได ส่งเสียงร้องคร่ำครวญ ด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ แต่พอจะเดาได้ว่า “ให้เงินฉันเถอะ ฉันลำบากเดือดร้อนมาก” มีทั้งคนตาบอด คนแก่ ดู น่าเวทนาจริงๆ นอกจากคนขอทาน แล้วก็ยังมีลิงขอทานด้วย ดูท่าทางหน้าตาลิงแล้ว ดูจะมีความสุขกว่าคนเสียอีก เห็นแล้วทำให้นึกถึงคำบรรยายของท่านอาจารย์ตอนหนึ่ง ว่า โลกมนุษย์เป็นที่ดูผลของบุญและบาป เคยคิดว่า น่าจะมีองค์การกุศลของโลกมา ช่วยคนพวกนี้ให้มีความเป็นอยู่ดีกว่านี้ แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่ใครจะทำให้ทุกคนกินดีอยู่ดี ตามมาตรฐานสากลได้ ถ้าทำได้ พระผู้มีพระภาคคงทรงบอกวิธีแล้ว แต่พระองค์ทรง แสดงว่า เมื่อมีอกุศลกรรม ก็ต้องมีอกุศลวิบากให้ได้เห็นอย่างนี้ ทรงแสดงว่าอะไรเป็น กุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรเป็นผลของกุศลและอกุศลนั้น การที่ต้องเดือดร้อนยากจน เพราะเป็นคนตระหนี่ ไม่รู้จักคำของคนขอ (คิดมาถึงตอนนี้ อยากจะให้ เพราะดูเหมือน ว่า ไม่รู้จักคำของคนขอ แต่ถ้าให้ใครสักคนแล้ว คนให้จะเดือดร้อนทันที เพราะจะถูก รุม ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง และไม่กล้าลองด้วย ได้ยินแต่คำบอกเล่า พระภิกษุที่มา บรรยายท่านเล่าว่า โยมผู้หญิงคนหนึ่งจากเมืองไทยอายุมากแล้วให้ขอทานคนหนึ่ง ถูก ขอทานคนอื่นๆ รุมล้อมเข้ามาแย่งเงินจนล้มลง พวกนั้นก็ยังไม่เลิกรุม จนท่านผู้นั้นได้ รับบาดเจ็บ) เมื่อต้องการรับผลที่ดี คนฉลาดก็ต้องเลือกทำกุศล ถ้าเลือกได้ แต่ทุก อย่างเลือกไม่ได้ ต้องอาศัยเหตุปัจจัย คือความเข้าใจสภาพธรรมตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดง

อากาศวันนี้เย็นมาก แม้ในเวลาเที่ยงก็ยังเย็น เสื้อผ้าที่คิดจะถอดออกเป็นชั้นๆ ในตอนแรกที่อยู่บนรถ ก็ต้องใส่ติดตัวขึ้นไปด้วย เพราะมีทั้งลมเย็นด้วย แต่อากาศเย็นทำ ให้เดินไม่เหนื่อย บรรยากาศน่าจะรื่นรมย์ เพราะมองไปรอบๆ เห็นภูเขาหลายลูกสวยงาม สมชื่อว่า ปัญจคีรีนคร แต่บรรดาพ่อค้าแขกที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังเรียกให้ซื้อสินค้า ต่างๆ นั้น ทำลายบรรยายเสียหมด จินตนาการที่เริ่มคิดถึงพระเจ้าพิมพิสารเสด็จขึ้นไป บนทางเดินเดียวกันนี้เพื่อเฝ้าฟังธรรมนั้นไม่ปะติดปะต่อจนเกิดความซาบซึ้งได้

แต่ในที่สุด เราก็ได้ขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏ ได้กราบพระคันธกุฏีเล็กๆ เรียบง่าย ที่ประทับของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นกุฏิเล็กๆ ของท่านพระอานนท์อยู่ใกล้ๆ กัน ได้ทำประทักษิณรอบพระคันธกุฎี ๓ รอบ พร้อมกับสวดสรรเสริญพระรัตนตรัยไป ด้วย บางคนก็นำพวงมาลัยสวยงามจากกรุงเทพฯ ฝากมาถวายด้วย มีผู้มีศรัทธาฉีดน้ำ หอมไปรอบๆ พระคันธกุฎีด้วย ดูซิความวิจิตรของกุศลจิตของแต่ละท่าน ช่างหลาก หลายมากมาย มนุษย์เราถึงไม่เหมือนกันเลย เพราะความคิดวิจิตรต่างกันอย่างนี้เอง ขาลง พระภิกษุจากวัดไทยศิริราชคฤห์นำทางมายังถ้ำสุกรขาตา ที่ท่านพระสารีบุตรสำเร็จพระอรหันต์ขณะถวายงานพัดพระผู้มีพระภาค ถ้ำนั้นไม่ใหญ่นัก ทราบจากพระ ภิกษุว่า เมื่อปี ๒๔๗๕ เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงบริเวณนี้ ทำให้ถ้ำทรุดตัวลงมา ก็ เลยเข้าใจว่า ไม่ใช่ของเดิม ขากลับสามีทนเสียงร้องเรียกว่า “มหาราชา มหาราชา” ไม่ ไหว เลยซื้อโปสการ์ดจากเด็กคนหนึ่ง ต่อจากนั้นไม่ได้เป็นปกติสุข เพราะจะมีคนมา ล้อมหน้าล้อมหลังเรียกให้ซื้อของเขาบ้าง แปลกแท้ๆ ไม่ยักจะชวนคนที่ยังไม่ซื้อ กลับ มาเรียกคนซื้อแล้วให้ซื้ออีก ตอนหลังก็พบวิธีให้พวกเหล่านี้หยุดตื้อ ด้วยการไม่สนใจ เลย คุยกันเองไปเรื่อยๆ พวกนี้ก็เลยหันความสนใจไปที่คนอื่นแทน จึงพอได้ดูทิวทัศน์ ข้างทางบ้าง

รถจอดอีกครั้งที่คุมขังพระเจ้าพิมพิสาร มีหลายคนไม่ลง ได้ยินเสียงบอกว่า สถานที่ไม่เป็นมงคล แต่เราไม่ลง เพราะปวดขาที่ต้องเกร็งเวลาเดินลงเขา เลยขอนั่ง สังเกตการณ์บนรถดีกว่า เพราะเคยไปมาแล้ว เห็นพรรคพวกเดินลงไป ทางเข้าเต็มไป ด้วยฝุ่น มีขอทานมานั่งรอสองข้างทางหลายคน มีทั้งเด็ก คนแก่ ผู้ชายมีลูกอ่อนแบ เบาะด้วย เห็นมีคนให้ขนมถุงใหญ่กับเด็กคนหนึ่ง ทำมือให้แบ่งกันกับเด็กอีกคนที่นั่ง ใกล้กัน แต่เด็กไม่ยอม พยายามจะขอใหม่ให้ได้ ยื้อแย่งกันอีก พวกนี้อยากได้จัดจนไม่ น่ารักเลย คงเพราะสะสมความโลภจัดมา จึงได้ลำบากยากจนอย่างนี้ พอรถจะออก พวกนี้ก็วิ่งกรูมาที่รถ กระเป๋ารถเอาไม้ไล่ให้ไปไกลๆ เด็กก็วิ่งหนี แล้วก็วิ่งมาใหม่ ขณะ นั้นก็มีลิงมาแย่งของเด็กที่วางไว้ มีผู้หญิงแก่ส่งเสียงบอก เด็กๆ ก็วิ่งเอาไม้ไล่ตีลิงดู ภาพ พชีวิตจากหน้าต่างรถแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องชนชั้น เรานั่งอุ่นสบายในรถ มี เด็กขอทานที่กระเป๋ารถพยายามไล่ให้ไปไกลๆ เด็กก็วิ่งไล่ตีลิงไม่ให้มาแย่งของอีกที ไม่รู้ว่าจะสรุปว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ทรามและประณีตต่างกันได้ไหม

เกือบบ่ายสองโมงเย็นที่ได้รับประทานอาหารเที่ยงที่โรงแรม Residency Rajgir โชคดีที่มีอาหารของคุณชื่นทิพย์รองท้อง เลยพอทนได้กับความทุกข์ที่เกิดจากโรคหิว อาหาร มื้อนี้มีรสชาติคล้ายๆ อาหารไทย มีต้มยำ ผัดมะเขือ ส้มตำ อร่อยพอสมควร

โรงแรมนี้อยู่ติดกับวัดไทยศิริราชคฤห์ ซึ่งได้แวะเมื่อรับประทานอาหารกลางวันแล้ว วัดไทยมีบริเวณกว้างขวางกว่าโรงแรมเสียอีก มีห้องน้ำสะอาด สถานที่ดูร่มเย็น สะอาดสะอ้าน ทิวทัศน์สวยงาม มองจากวัดเห็นภูเขาหลายลูก น่าจะเป็นเขาคิชฌกูฏ ด้วย ดูน่าศรัทธาเลื่อมใส พวกเราได้ทอดผ้าป่าซึ่งมีผู้นำมาจากเมืองไทย และสามารถ รวบรวมปัจจัยถวายวัดได้สามหมื่นกว่าบาทในเวลาไม่กี่นาที ขออนุโมทนากับทุกคน ด้วยค่ะ พระท่านบอกว่า ถ้าจะดูกรุงราชคฤห์ให้ทั่ว คงต้องพักที่นี่สัก ๓ วัน เพราะมีอีก หลายแห่งที่สำคัญ เช่น เวภารบรรพต ที่ทำปฐมสังคายนา ถ้ำปิปผลิคคูหาที่ท่านพระ มหากัสสปะจำพรรษา และอีกหลายแห่งที่มีบอกในโปรแกรมท่องเที่ยว แต่ไม่มีเวลา หยุดดู คือ วัดชีวกัมพวัน ธารน้ำแร่ร้อนตะโปทาที่ได้แต่ผ่าน ไม่ได้แวะลงดู เพราะหมด เวลาเสียก่อน

ออกจากวัดไทย ก็เย็นแล้ว จึงต้องเปลี่ยนไปชมวัดนาลันทาเก่าก่อน เพราะที่นั่น จะปิดเวลาห้าโมงเย็น แล้วถึงย้อนกลับมาดูวัดเวฬุวันซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดไทย เพราะที่นี่ พระท่านรู้จักเป็นการส่วนตัว ถึงจะปิดแล้วก็ขอเข้าไปดูได้



เมื่อถึงวัดนาลันทาเก่า พระภิกษุที่ทำหน้าที่มัคคุเทศก์ ก็เดินนำชมอย่างรวดเร็ว เพราะใกล้เวลาปิด ได้เห็นซากปรักหักพังของมหาวิทยาลัยทางพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่ สุด และใหญ่โตมากด้วย ที่นี่มีเรื่องราวมากมาย รวมทั้งเรื่องที่ถูกเผาทำลายด้วย เราก็ จำไม่ค่อยได้ กลัวจะเล่าผิด เป็นอันว่าถ้าอยากรู้เรื่องจริง คงต้องค้นหาเอง พระมหา ท่านพาไปไหว้สวดมนต์หน้าเจดีย์ที่เป็นที่ปรินิพพานของท่านพระสารีบุตร ท่ามกลาง อากาศหนาวเย็น เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตใกล้จะตกหลังพระเจดีย์ เป็นภาพที่งดงาม น่าเลื่อมใสศรัทธาจริงๆ



จากวัดนาลันทาเก่า พวกเราหลายคนอยากจะชมพระพุทธรูปพระองค์ดำซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ถูกเผาทำลาย ซึ่งบัดนี้อยู่ในความดูแลของชาวฮินดูแถวนั้น จากวัดนาลัน ทาต้องเดินตัดทุ่งนาไปประมาณ ๒๐๐ เมตร แต่ตอนนี้มีถนนดินที่สร้างโดยคนไทยที่ เลื่อมใสศรัทธา เมื่อเห็นพวกเราไป ก็จะเปิดประตูให้เข้าไป แขกหลายคนช่วยกันปูผ้าที่ พื้น ดูกุลีกุจอดีมาก ได้ทราบว่า เงินบำรุงนั้นเป็นของพวกเขาเหล่านี้ มีพ่อค้านำพระ พุทธรูปพระองค์ดำจำลองมาขายในราคาไม่ถูกเลย พร้อมกับบอกว่า เป็นพระพุทธรูป ของฮินดู ท่านพระมหาพาไหว้พระสวดมนต์ที่นี่อีกครั้ง ท่านบอกว่า เวลาบริจาคต้องให้ พวกเขาเห็น เพราะมีบางกลุ่มไม่บริจาคใส่ตู้ ปรากฏว่าเขาไม่เปิดประตูให้ออกไป ดูซิ ช่างหากินกับพระพุทธรูปแท้ๆ เลย

จากวัดนาลันทาเก่า รถต้องวิ่งย้อนกลับไปที่วัดเวฬุวันประมาณ ๗ กิโล ตอนนี้ฟ้ามืดแล้ว มาวัดเวฬุวัน ๓ ครั้ง ไม่เคยมาตอนกลางวันแล้ว มาทีไรมืดทุกที มาคราวนี้ก็มืด แต่ก็ยังดีที่มีไฟสว่างในวัด พอให้เห็นทางเดิน และสถานที่สำคัญบ้าง ได้ทำประทักษิณ รอบพระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในวัด แล้วรีบเดินทางกลับ ดูรีบร้อนอย่างไรพิกล ทั้งๆ ที่วัดนี้ เป็นสถานที่สำคัญของกรุงราชคฤห์ เพราะเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้า พิมพิสารถวายแก่พระผู้มีพระภาค และวัดนี้เป็นวัดที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง แสดงโอวาทปาติโมกแก่พระภิกษุอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ที่ล้วนเป็นเอหิภิกขุ และมาพบกัน ได้ไม่ได้นัดหมาย ในวันเพ็ญเดือนมาฆะ



ออกจากวัดเวฬุวัน รถแล่นมาในความมืด ผ่านตลาดที่ขายขนมขาช้า คุณสุวัฒบอกให้รถจอดแวะซื้อเพื่อไปทำบุญในวันรุ่งขึ้น ขนมขาช้าคือขนมเบื้องที่ท่านโกสิยเศรษฐี อยากจะรับประทานมาก แต่ไม่กล้าบอกภรรยา เพราะกลัวจะสิ้นเปลื้องเนื่องจากคนอื่นๆ แม้แต่ภรรยาก็จะรับประทานด้วย จึงนอนผ่ายผอมเพราะความอยาก ภายหลังจึงได้บอก ภรรยาให้ขึ้นไปทำขนมบนปราสาทชั้น ๗ เพื่อจะได้ไม่ต้องแบ่งคนอื่น พระผู้มีพระภาค ทรงส่ง ท่านพระมหาโมคคัลลานะไปปราบ เมื่อท่านได้ฟังธรรม ก็ได้บรรลุเป็นพระ- อริยบุคคล หลายคนสงสัยว่า ทำไมขี้เหนียวขนาดนี้จึงเป็นเศรษฐีได้ การเป็นเศรษฐี ไม่ใช่ผลของความตระหนี่ แต่เป็นผลของกุศล ทุกคนไม่ได้มีแต่อกุศล ยังมีกุศลอื่นๆ อีก ด้วย ตามการสะสม ทุกคนสะสมทั้งกุศลและอกุศล เมื่อมีเหตุปัจจัยที่กุศลจะให้ผล ก็ได้ รับผลที่ดี อย่างท่านเศรษฐีขี้เหนียวท่านต้องสะสมปัญญามามาก เมื่อได้ฟังธรรมจึงได้ บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล

ดังนั้น กุศลและอกุศลต่างก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เมื่อเกิดขึ้นต่างก็ทำกิจของตน ความตระหนี่เกิดขึ้นก็ทำกิจหวงแหน ไม่ยอมสละแบ่งปัน ดูน่ารังเกียจ แต่เกิดกับใครก็มีลักษณะอย่างนี้ ถ้าจะรังเกียจก็ควร รังเกียจอกุศลของตนเอง ที่มีกันคนละมากๆ เพื่อจะได้เกิดความเพียรขัดเกลาอกุศลให้ น้อยลง ถึงโรงแรมเสียที สองทุ่มกว่าได้เวลาอาหารค่ำพอดีค่ะ คืนนี้คงหลับสนิทจากการเดินขึ้นลงเขา และอิ่มใจในบุญกุศลเช่นเคยค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
saifon.p
วันที่ 24 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 24 มี.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 24 มี.ค. 2553

... กราบอนุโมทนาค่ะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
apinya313
วันที่ 1 ธ.ค. 2553
ขอบคุณค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chookasem
วันที่ 22 พ.ค. 2554

ขออนุโทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ