อินเดีย ...อีกแล้ว28
เวสาลี
ออกจากโรงแรมชั้นดีที่มีเวลาพักไม่กี่ชั่วโมงในตอนเช้า เพื่อเดินทางไกลไปถึง
กุสินารา แต่ได้ไปแวะที่เวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชีในอดีตก่อน แคว้นวัชชีมีชื่อ
เสียงมาแต่ครั้งพุทธกาล มีเจ้าลิจฉวีเป็นประธานคณะผู้ปกครองในระบอบสามัคคีธรรม
ที่เข้มแข็ง แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อเล่ห์อุบายของวัสสการพราหมณ์ที่ยุยงให้แตกสามัคคี
กัน
ข้อความจากหนังสือ “หนังสือภาพ ตามรอยบาทพระศาสดา” โดยพระมหาสมปอง
มุทิโตเล่าว่า
พระพุทธเจ้าทรงเสด็จกรุงเวสาลีครั้งแรก หลังจากออกพรรษาที่ ๒ เพราะกรุงเวสาลี
เกิดภัยพิบัติ ๓ อย่างพร้อมกัน คือ ทุพภิกขภัย อมนุสสภัย และพยาธิภัย พวกเจ้าลิจฉวี
จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้เสด็จมา พระองค์เสด็จผ่านปาฏลิคาม แล้วลงแพข้ามแม่
น้ำคงคาที่ท่าโคตมติตถะ เมื่อถึงกรุงเวสาลี ทรงให้ท่านพระอานนท์สาธยายรัตนสูตร
พร้อมกับประพรมน้ำพุทธมนต์โดยรอบพระนครตลอด ๗ วัน และพระพุทธเจ้าก็ตรัส
รัตนสูตรที่สัณฐาคารกลางกรุงเวสาลี ทำให้มีผู้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลมากมาย คิดว่า
สืบต่อเป็นประเพณีประพรมน้ำพุทธมนต์จนถึงปัจจุบัน
ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจำพรรษาที่ ๕ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวันเขต
กรุงเวสาลี ระหว่างนั้นพระนางปชาบดีโคตมี ชวนนางสากิยานี ๕๐๐ ปลงเกศา ครอง
ผ้ากาสาวพัสตร์ถือเพศเป็นนักบวช มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขอบรรพชา พระพุทธเจ้า
ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณีได้ ตามคำอ้อนวอนของท่านพระอานนท์ โดยต้องปฏิบัติ
ตามครุธรรม ๘ ประการ ซึ่งมีข้อความสำคัญว่า ต้องให้ภิกษุสงฆ์เป็นใหญ่กว่า ต่อมา
พระนางยโสธรา พระนางรูปนันทา นางอัมพปาลี คณิกาผู้ถวายสวนมะม่วง ให้เป็น
สังฆารามในพระพุทธศาสนา ก็ออกบวชในสำนักพระมหาปชาบดีเถรีเช่นกัน
มีเรื่องราวเกิดขึ้นที่กรุงเวสาลีปรากฏในพระไตรปิฎกมากมาย เช่น เจ้ามหาลิสงสัยว่า
ท้าวสักกะมีจริงหรือไม่ จึงเข้าเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงข้อปฏิบัติที่ทำให้
เป็นท้าวสักกะว่า “เป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดา นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พูดจาอ่อนหวาน
เว้นคำส่อเสียด ไม่ตระหนี่ กล่าวคำสัตย์ และข่มความโกรธได้”
ในพรรษาที่ ๔๕ ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระผู้มีพระภาค
ได้เสด็จมาที่หมู่บ้านเวฬุวคาม ตอนบ่ายวันหนึ่ง ทรงชวนท่านพระอานนท์เสด็จไปยัง
ปาวาลเจดีย์ ทรงเปล่งนิมิตโอภาสถึง ๓ ครั้ง แต่ท่านพระอานนท์ไม่เข้าใจ จึงทรงปลง
อายุสังขารว่า “นับแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน เราตถาคตจะปรินิพพาน”
พวกเราได้กราบนมัสการปาวาลเจดีย์ ที่เหลือเพียงซากฐานของสถูปที่เป็นที่
ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับส่วนแบ่งจากกรุงกุสินารา และที่ตรงนี้มองเห็น
เจดีย์สีขาวสูงใหญ่ไกลๆ ทราบจากหนังสือภาพว่า เป็นสระโบกขรณีมงคลที่ใช้ในราช
พิธีมุรธาภิเษกของกษัตริย์ลิจฉวี
กูฎาคารศาลา ป่ามหาวันนั้น มีภูมิทัศน์สวยงาม เห็นสนามหญ้าเขียวขจีรอบๆ บริเวณที่
จัดแต่งไว้สวยงามเป็นระเบียบ เมื่อเดินไปถึงกูฏาคารศาลา จะเห็นเสาศิลาจารึกพระ
เจ้าอโศกที่สมบูรณ์และสวยงามมาก
ได้ชมด้วยตาเท่านี้ เพราะเวลาจำกัด ดูจากหนังสือภาพแล้ว ยังมีพระราชวังเก่าของ
เจ้าลิจฉวี เกสริยาสถูป ซึ่งสันนิษฐานวา เป็นเส้นทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านก่อน
ปรินิพพาน และวัดวาลุการาม สถานที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ หลังจากพระ
พุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี
ก็อดมีความหวังว่าจะได้เห็นด้วยตาสักครั้งไม่ได้เช่นเคย แล้วรู้ตัวหรือไม่ว่า ความหวัง
คือ โลภะ ซึ่งเป็นอกุศล ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำให้เจริญขึ้น แต่ควรละให้เหลือน้อยที่สุด แต่
ทำอย่างไรได้ เมื่อปัญญายังน้อย ไม่รู้แม้ว่าขณะนี้ก็เป็นโลภะอีกแล้ว รู้จักแต่เพียงชื่อ
เท่านั้น ยังไม่รู้ลักษณะแม้แต่ครั้งเดียว