อินเดีย ...อีกแล้ว28

 
kanchana.c
วันที่  17 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14761
อ่าน  3,488

เวสาลี

ออกจากโรงแรมชั้นดีที่มีเวลาพักไม่กี่ชั่วโมงในตอนเช้า เพื่อเดินทางไกลไปถึง

กุสินารา แต่ได้ไปแวะที่เวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชีในอดีตก่อน แคว้นวัชชีมีชื่อ

เสียงมาแต่ครั้งพุทธกาล มีเจ้าลิจฉวีเป็นประธานคณะผู้ปกครองในระบอบสามัคคีธรรม

ที่เข้มแข็ง แต่ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อเล่ห์อุบายของวัสสการพราหมณ์ที่ยุยงให้แตกสามัคคี

กัน

ข้อความจากหนังสือ “หนังสือภาพ ตามรอยบาทพระศาสดา” โดยพระมหาสมปอง

มุทิโตเล่าว่า

พระพุทธเจ้าทรงเสด็จกรุงเวสาลีครั้งแรก หลังจากออกพรรษาที่ ๒ เพราะกรุงเวสาลี

เกิดภัยพิบัติ ๓ อย่างพร้อมกัน คือ ทุพภิกขภัย อมนุสสภัย และพยาธิภัย พวกเจ้าลิจฉวี

จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้เสด็จมา พระองค์เสด็จผ่านปาฏลิคาม แล้วลงแพข้ามแม่

น้ำคงคาที่ท่าโคตมติตถะ เมื่อถึงกรุงเวสาลี ทรงให้ท่านพระอานนท์สาธยายรัตนสูตร

พร้อมกับประพรมน้ำพุทธมนต์โดยรอบพระนครตลอด ๗ วัน และพระพุทธเจ้าก็ตรัส

รัตนสูตรที่สัณฐาคารกลางกรุงเวสาลี ทำให้มีผู้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลมากมาย คิดว่า

สืบต่อเป็นประเพณีประพรมน้ำพุทธมนต์จนถึงปัจจุบัน

ต่อมาพระพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับจำพรรษาที่ ๕ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวันเขต

กรุงเวสาลี ระหว่างนั้นพระนางปชาบดีโคตมี ชวนนางสากิยานี ๕๐๐ ปลงเกศา ครอง

ผ้ากาสาวพัสตร์ถือเพศเป็นนักบวช มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทูลขอบรรพชา พระพุทธเจ้า

ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุณีได้ ตามคำอ้อนวอนของท่านพระอานนท์ โดยต้องปฏิบัติ

ตามครุธรรม ๘ ประการ ซึ่งมีข้อความสำคัญว่า ต้องให้ภิกษุสงฆ์เป็นใหญ่กว่า ต่อมา

พระนางยโสธรา พระนางรูปนันทา นางอัมพปาลี คณิกาผู้ถวายสวนมะม่วง ให้เป็น

สังฆารามในพระพุทธศาสนา ก็ออกบวชในสำนักพระมหาปชาบดีเถรีเช่นกัน

มีเรื่องราวเกิดขึ้นที่กรุงเวสาลีปรากฏในพระไตรปิฎกมากมาย เช่น เจ้ามหาลิสงสัยว่า

ท้าวสักกะมีจริงหรือไม่ จึงเข้าเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงข้อปฏิบัติที่ทำให้

เป็นท้าวสักกะว่า “เป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดา นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล พูดจาอ่อนหวาน

เว้นคำส่อเสียด ไม่ตระหนี่ กล่าวคำสัตย์ และข่มความโกรธได้”

ในพรรษาที่ ๔๕ ซึ่งเป็นพรรษาสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระผู้มีพระภาค

ได้เสด็จมาที่หมู่บ้านเวฬุวคาม ตอนบ่ายวันหนึ่ง ทรงชวนท่านพระอานนท์เสด็จไปยัง

ปาวาลเจดีย์ ทรงเปล่งนิมิตโอภาสถึง ๓ ครั้ง แต่ท่านพระอานนท์ไม่เข้าใจ จึงทรงปลง

อายุสังขารว่า “นับแต่นี้ไปอีก ๓ เดือน เราตถาคตจะปรินิพพาน”

พวกเราได้กราบนมัสการปาวาลเจดีย์ ที่เหลือเพียงซากฐานของสถูปที่เป็นที่

ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับส่วนแบ่งจากกรุงกุสินารา และที่ตรงนี้มองเห็น

เจดีย์สีขาวสูงใหญ่ไกลๆ ทราบจากหนังสือภาพว่า เป็นสระโบกขรณีมงคลที่ใช้ในราช

พิธีมุรธาภิเษกของกษัตริย์ลิจฉวี

กูฎาคารศาลา ป่ามหาวันนั้น มีภูมิทัศน์สวยงาม เห็นสนามหญ้าเขียวขจีรอบๆ บริเวณที่

จัดแต่งไว้สวยงามเป็นระเบียบ เมื่อเดินไปถึงกูฏาคารศาลา จะเห็นเสาศิลาจารึกพระ

เจ้าอโศกที่สมบูรณ์และสวยงามมาก


ได้ชมด้วยตาเท่านี้ เพราะเวลาจำกัด ดูจากหนังสือภาพแล้ว ยังมีพระราชวังเก่าของ

เจ้าลิจฉวี เกสริยาสถูป ซึ่งสันนิษฐานวา เป็นเส้นทางที่พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านก่อน

ปรินิพพาน และวัดวาลุการาม สถานที่ทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๒ หลังจากพระ

พุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ๑๐๐ ปี

ก็อดมีความหวังว่าจะได้เห็นด้วยตาสักครั้งไม่ได้เช่นเคย แล้วรู้ตัวหรือไม่ว่า ความหวัง

คือ โลภะ ซึ่งเป็นอกุศล ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำให้เจริญขึ้น แต่ควรละให้เหลือน้อยที่สุด แต่

ทำอย่างไรได้ เมื่อปัญญายังน้อย ไม่รู้แม้ว่าขณะนี้ก็เป็นโลภะอีกแล้ว รู้จักแต่เพียงชื่อ

เท่านั้น ยังไม่รู้ลักษณะแม้แต่ครั้งเดียว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วิริยะ
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
panasda
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Jans
วันที่ 18 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
กระจ่าง
วันที่ 15 ต.ค. 2553
กราบอนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ