เมื่อต้องผ่านวิกฤติกาลที่ลำบาก

 
คุณย่า
วันที่  25 ส.ค. 2552
หมายเลข  13339
อ่าน  2,669

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ ฯ
พื้นฐานพระอภิธรรม ครั้งที่ ๙๒
วันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๒

คุณอรวรรณ ขอกราบเรียนรบกวนอีกประเด็น ๑ ก็มีลูกของเพื่อนตาย เขาเสียใจมาก แล้วท่านอาจารย์ก็ตอบไปว่า "เพราะต้องเป็นอย่างนี้ และต้องเป็นคนนี้ เพราะต้องเป็นเราและต้องเป็นอย่างนี้" จากการฟังเพียงเข้าใจ เมื่อต้องผ่านวิกฤติกาลที่ลำบาก เราก็ไปยุ่งยากมากมาย แต่เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเดือดร้อน ความเข้าใจขั้นฟังแล้วคิดได้ว่า จากเสียงท่านอาจารย์ที่ว่า ต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นเรา ก็จะทำให้รู้สึกคลายความเดือดร้อนในเรื่องที่เป็นวิกฤติกาลร้ายแรงไปได้ ถ้าเปรียบเทียบกับการที่ต้องเจออะไรๆ ที่หนักๆ มาก่อนก็จะตีอกชกหัวเดือดร้อนกันมากมาย

แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมและแม้เข้าใจเพียงขั้นฟัง และท่านอาจารย์จะพูดให้เข้าใจว่า นี่เพราะเหตุปัจจัยต้องเป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น หรือต้องเป็นคนนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ ก็ทำให้รู้สึกว่า ความเดือดร้อนจะน้อยลงไปมาก ก็อยากจะรบกวนให้ท่านอาจารย์ขยายความตรงนี้ เพราะต้องการเป็นอย่างนี้ เพราะต้องเป็นเรา

ท่านอาจารย์ ค่ะ คงไม่ต้องถึงเวลาโน้นนะค่ะ เดี๋ยวนี้เองที่กำลังเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น เดี๋ยวก็ได้ยินแล้วใช่ไหมค่ะ ก็ต้องเป็นอย่างนี้ แล้วยังไงจะเป็นอย่างอื่นได้ยังไง ชีวิตตามธรรมดา เกิดขึ้นเป็นไป เป็นอย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น

คุณอรวรรณ ก็หมายถึงว่า ถ้าฟังเข้าใจก็ไม่ต้องรอว่า มีเรื่องร้ายๆ หรือมีวิกฤติการ จึงคิด จริงๆ ก็เป็นอย่างนี้ทุกขณะ เป็นอย่างนี้ เพราะต้องเป็นอย่างนี้

ท่านอาจารย์ รออะไรได้ไหมค่ะ ก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้น แต่สิ่งนี้เกิดแล้ว ไม่ต้องรอที่จะเข้าใจสิ่งที่มีแล้ว เดี๋ยวนี้ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้แม้ฟังอย่างนี้ แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่ได้หมายความว่าทุกคนสามารถจะเข้าถึงความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้นะค่ะ แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเพิ่มขึ้น วันหนึ่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ไหม เพราะว่าวันนี้เราคิดเรื่องอื่นมากมาย ระหว่างที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ลืมเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏทางหู ลืมที่จะเข้าใจแข็งที่กำลังปรากฏ ลืมที่จะเข้าใจว่าคิดเกิด แล้วก็ดับไป นี่ค่ะก็ คือ ฟังธรรมแล้วก็ลืมอยู่เรื่อยๆ เป็นผู้หลงลืมสติ หมายความว่า สติไม่ได้เกิดขึ้น แต่อาศัยการที่ฟังแล้วเข้าใจจะไปรู้อย่างอื่น หรือว่าจะเริ่มมีปัจจัยที่จะทำให้ค่อยๆ คิดถึง แม้แต่เพียงระลึกได้ เพียงแค่ระลึก เพราะยังไม่สามารถจะเห็นความจริงว่า ขณะนี้เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น แต่ลองคิดถึงซิค่ะว่า ความจริงเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ธรรมเป็นเรื่องจริงค่ะ เริ่มตั้งแต่การฟังแล้วเข้าใจขั้นฟัง ไม่ต้องไปทำอะไรอีกนะค่ะ ฟังเข้าใจว่าขณะนี้นะค่ะ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแล้วสิ่งนี้เป็นอะไร ไม่ได้เป็นอะไรสักอย่างเดียว ถ้าไม่คิด แต่เพราะว่าสิ่งนี้เกิดดับสืบต่อเร็วมาก กระทั่งเหมือนกับไม่ได้ดับไปเลย เพราะการเกิดดับสืบต่อทำให้ปรากฏเป็นนิมิต รูปร่างสัณฐานต่างๆ ฟังอย่างนี้ละค่ะ แล้วก็คิดว่าจริงหรือเปล่าใช่ไหมค่ะ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น ปรากฏโดยความเป็นนิมิต เพราะว่าไม่ได้ปรากฏลักษณะในขณะที่เกิดดับ แต่ว่าปรากฏโดยนิมิตเป็นรูปร่างสัณฐานของสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีสีสันวัณณะต่างๆ ทำให้สามารถที่จะจำในรูปร่างสัณฐานนั้น เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า แม้ในขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ปรมัตถธรรม คือ สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับแล้วเร็วมาก เพราะฉะนั้นปรากฏเป็นนิมิต ยังไม่ต้องมีสมมุติเรียกอะไรทั้งสิ้น ทุกคนก็นั่ง เห็นแล้วก็มีสิ่งซึ่งมีรูปร่างสัณฐานต่างๆ สิ่งใดที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรม สิ่งนั้นเป็นบัญญัติ เพราะฉะนั้นการที่เราจะเริ่มรู้ว่าอะไรจริงและสิ่งใดไม่จริง

แม้ว่าจะเร็วมาก แต่ก็เริ่มเห็นความต่างกันของสภาพธรรมที่มีจริง สามารถกระทบจักขุปสาทแล้วปรากฏให้เห็น เป็นอย่างหนึ่งนะค่ะ แต่เมื่อปรากฏให้เห็นแล้ว ไม่ได้ปรากฏให้เห็นเพียงเป็นสิ่งที่ปรากฏที่เพียงปรากฏให้เห็น แต่ปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ ให้รู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้น ขณะนี้สิ่งที่จริง คือ สิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็น ส่วนรูปร่างสัณฐานต่างๆ นั้นเป็นบัญญัติ เพราะฉะนั้น ก็เริ่มแยกชีวิตนะค่ะ ว่าถ้าไม่มีปรมัตถธรรม บัญญัติไม่มีเลย แน่นอนใช่ไหมค่ะ

ปรมัตถธรรมเกิดดับทำให้เกิดเป็นนิมิต จึงทำให้มีบัญญัติ ความจำในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู....ทางใจคิดนึกถึงสิ่งนั้น เพราะว่าเห็น ไม่ได้ทำหน้าที่อะไรเลยนะค่ะ นอกจากเกิดขึ้นเห็นเท่านั้นเอง แค่เห็นแล้วก็ดับไปแล้ว หมดหน้าที่ของธาตุ สามารถที่จะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา โดยที่ธาตุนั้นเกิดที่จักขุปสาทรูป เห็นแล้วก็ดับไปเลย นี่คือความจริง ถ้าไม่ฟังอย่างนี้นะค่ะ เมื่อไหร่จะคลายการที่เป็นเราเห็นหรือ สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่คือทางเดียวนะค่ะ ทางตาเท่านั้นเองค่ะ แต่ก็มีทางหู......ทางใจ เพราะฉะนั้นความเข้าใจธรรมต้องละเอียดและต้องทั่วปริยัติ รอบรู้ในสิ่งที่ฟังโดยเข้าใจลักษณะของธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง ไม่ใช่ฟังเรื่องหนึ่งแล้วไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่ฟังนั้นถูกต้องตามความจริงอย่างไร

เพราะฉะนั้น วันนี้ขณะนี้ ก็เข้าใจปรมัตถธรรมสิ่งที่มีจริงที่ปรากฏให้เห็นจริงๆ เห็นจริงๆ ใช่ไหมค่ะ หลังจากนั้นก็คือนิมิต เพราะความจริงเห็นดับแล้วค่ะ ดับอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ดับอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นปรากฏให้เห็นเป็นนิมิต ซึ่งเป็นบัญญัติของสิ่งซึ่งมีจริงซึ่งเกิดดับ นี่คือโลกตั้งแต่เกิดมาแล้วก็ไม่มีความรู้ในสภาพธรรมที่เป็นธรรม เป็นธาตุเลย เกิดมาด้วยความไม่รู้ เห็นด้วยความไม่รู้ ได้ยินด้วยความไม่รู้ คิดนึกด้วยความไม่รู้ ตั้งแต่เกิดจนตาย ตราบใดที่ยังไม่ได้ฟังธรรมเป็นชีวิตที่เกิดและเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย โดยไม่รู้ว่าความจริงแต่ละชาติหายไปหมด ไม่เหลือเลย หรือชาตินี้ความสุขความทุกข์ทั้งหมดที่ผ่านมา ก็จะหมดสิ้นไป จบชาตินี้ก็คือว่า ไม่มีการที่จะจำว่าชาติก่อนเป็นอะไรอยู่ที่ไหน แม้แต่ขณะนี้นะค่ะ ถ้าถึงชาติหน้าก็ไม่รู้แล้วว่าเคยอยู่ตรงนี้

กำลังฟังเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ สังขารขันธ์ก็ปรุงแต่ง จำแล้วก็เก็บสะสมความเข้าใจที่ถูกต้อง จนกว่าจะถึงเวลาที่ได้ฟังอีก ก็สามารถที่จะเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเพิ่มขึ้น ยิ่งขึ้นได้ด้วยเหตุนี้ การฟังธรรมที่จะได้สาระจริงๆ ต้องเป็นผู้ละเอียดและเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่ฟัง สิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีนิมิตยังไม่เป็นคำ ขณะที่เห็นแล้ว ยังไม่เป็นคำเลย รูปร่างสัณฐานปรากฏเป็นคำอะไรหรือเปล่าค่ะ ไม่เป็นเลยนะค่ะ แต่การที่จะให้รู้ว่า หมายความถึงสภาพธรรมใด ต้องมีคำซึ่งสมมุติให้รู้ว่า หมายความถึงสภาพหรือธรรมหรืออะไรก็ตามแต่ อย่างคุณบุษกร พูดถึงชื่อนี้ ทุกคนหันไปหาคนอื่นหรือเปล่าค่ะ ก็ต้องดูหรือเห็นคุณบุษกร นี่ก็คือสภาพธรรมที่บัญญัติให้รู้ สมมุติให้รู้ว่าชื่อนี้ บุษกร นี้หมายความถึงสภาพธรรมอะไร ปรมัตถธรรมอะไร เพราะฉะนั้น จึงต้องมีคำที่สมมุติให้รู้ความหมายของสิ่งที่มีจริง

เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่มีจริงไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็นบัญญัติหรือจะใช้คำว่าสมมุติบัญญัติก็ได้ เพราะว่าสมมุติก็คือไม่จริงเหมือนกัน เพราะว่าเพียงสมมุติชื่อ บุษกร อยู่ที่บ้าน มีใครเรียกบุษกรหรือเปล่าค่ะ ไม่มีเป็นชื่ออะไรค่ะ ก็อีกชื่อหนึ่งแล้วใช่ไหมค่ะ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าเป็นการสมมุติเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจได้นะค่ะ สิ่งใดที่ไม่ใช่ปรมัตถธรรมสิ่งนั้นก็เป็นบัญญัติ แล้วก็มีสมมุติ เพื่อให้เข้าใจ ให้รู้ได้หมายความถึงสิ่งใด เพราะฉะนั้นก็มีทั้งปรมัตถสัจจะและสมมุติสัจจะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
วิริยะ
วันที่ 26 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 26 ส.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 26 ส.ค. 2552

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ups
วันที่ 26 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Pongpat
วันที่ 27 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
คุณ
วันที่ 27 ส.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 27 ส.ค. 2552

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
อภิรดี
วันที่ 14 ก.ย. 2552

การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ผู้ที่หยาบศึกษา ฟังและอ่านธรรม มีโอกาสที่จะเข้าใจธรรมบ้างหรือไม่

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
saifon.p
วันที่ 13 มี.ค. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pamali
วันที่ 30 ธ.ค. 2554

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ