ศึกษาตัวเอง

 
คุณย่า
วันที่  6 ก.ค. 2552
หมายเลข  12829
อ่าน  2,618

สนทนาธรรมที่มูลนิธิ
พื้นฐานพระอภิธรรม
อาทิตย์ที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๑

สุรีย์ ทีนี้หลังจากเข้าใจแล้วศึกษาตัวเองมากกว่าศึกษาคนอื่น

อ.จ. ไม่ใช่เราด้วยคะเข้าใจค่ะถึงอย่างไรก็ตามแต่ทั้งหมดก็ยังมีความมั่นคง เราจะขยัน เราจะมีสติ เราจะเพียร ซึ่งไม่ใช่อย่างนั้นนะคะไม่ใช่เราแต่เริ่มเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ว่าเป็นธรรมและสภาพของโสภณเจตสิกทั้งหลาย ก็จะเจริญขึ้นจะไม่เห็นผิดโสภณเจตสิกหรือโสภณธรรม ต้องเกิดพร้อมกันขณะนี้ปัญญาเข้าใจถูกต้องเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ไม่ต้องห่วงสติเพราะแม้กำลังเข้าใจก็มีโสภณเจตสิกอื่นๆ เกิดร่วมด้วยทั้งสติทั้งศรัทธา เพราะฉะนั้น การเข้าใจจะเป็นปัญญาส่องให้เห็นลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธรรมยิ่งขึ้น มิฉะนั้นแล้วความมืดคืออวิชชาจะเอาออกได้อย่างไรมากมายหนาแน่นฟังนิดหนึ่งก็ลืมว่าเป็นธรรมฟังอีกหลายๆ ครั้งฟังเข้าใจขณะที่กำลังฟังไม่มากต้องใช้คำว่า ไม่มากเพราะอะไรคะ แล้วก็ลืมว่าเป็นธรรมแต่ถ้ามากแม้ขณะนี้สติสัมปชัญญะก็เกิดได้ ที่จะกล่าวว่าเป็นสติปัฏฐานหรือสติสัมปชัญญะก็คือว่า ไม่มีใครทำแต่ว่ามีความเข้าใจ ที่จะรู้ว่าแม้ขณะนั้นก็เกิดแล้วระลึกแล้วเลือกสิ่งที่สติกำลังระลึกรู้ก็ไม่ได้ และความที่จะค่อยๆ เข้าใจของสภาพธรรมก็จะเห็นได้ว่า ถ้ามีตัวตนเข้าไปแทรกเมื่อไรก็คือกั้น จะไม่สามารถเห็นว่าเป็นธรรม ความสงสัยเป็นธรรม ความจงใจเป็นธรรม ความต้องการเป็นธรรม ทุกอย่างทั้งกุศลธรรมและอกุศลธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม เพราะฉะนั้นฟังเพื่อที่จะละความเป็นตัวตน โดยการที่รู้ว่าขณะใดที่หลงลืมสติไม่ใช่ขณะที่สติเกิดจะไปพยายามที่จะให้เกิดผิด

บุษ. ในชีวิตประจำวันขาดสภาพคิดไม่ได้เลย ค่ะและจิตนี้มีคิดตลอดเวลาก็เลยจะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า เมื่อรู้ว่าสภาพคิดเมื่อกุศลจิตเกิดหรืออกุศลจิตเกิดคือรู้ทันตรงที่ว่าขณะนี้อกุศลจิตเกิด

อ.จ. ใครรู้

บุษ. จิตคิด รู้คะ

อ.จ. จิตเป็นยังไงคะ ตัวจิตน่ะเป็นยังไง

บุษ. ตัวจิตก็เป็นสภาพคิด รู้ว่าสภาพคิดเป็นกุศลจิต ก็รู้ค่ะ ว่ากุศลจิตเกิดหรืออกุศลจิตเกิด

อ.จ. ขณะนั้นเป็นปัญญา ไม่ใช่เราใช่ไหมค่ะ หรือไม่ใช่ปัญญา เป็นเราคิด

บุษ. ตอบอาจารย์จากการศึกษามาก็ต้องเป็นปัญญา

อ.จ. คุณบุษกรจะตอบจากการฟัง หรือจะตอบเมื่อสภาพธรรมนั้นปรากฏแล้วรู้ตามความเป็นจริง

บุษ. เมื่อสภาพธรรมปรากฏแล้วรู้ตามความเป็นจริง

อ.จ. เดี๋ยวนี้อะไรเป็นธรรม

บุษ. ก็ยังไม่รู้

อ.จ. ก็ยังไม่รู้จักสภาพคิดแต่รู้ว่าคิดเป็นธรรมเพราะฉะนั้นอย่าไปทำอะไรดีไหมคะถ้าไม่ฟังแน่ๆ เพราะว่าไม่ใช่ว่าห้ามคิดแต่ให้รู้ตามความเป็นจริงอย่าเหมาว่ารู้แล้วเพราะว่าจะรู้จริงๆ ต้องรู้ลักษณะของสติสัมปชัญญะ ขณะที่ต่างกันคือขณะที่สติไม่ได้เกิดแต่ไปเข้าใจว่าที่รู้ว่าขณะนี้คิดนั้นเป็นสติจำหรือว่ารู้

บุษ. เป็นจำมากกว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้รู้ว่าสภาพคิดขณะจิตนี้เป็นอกุศลแต่ก็ละไม่ได้

อ.จ. เดี๋ยวนี้เป็นอะไรค่ะ

บุษ. เดี๋ยวนี้เฉยๆ คะ

อ.จ. ก็เป็นกุศลหรืออกุศล

บุษ. เฉยๆ ก็ยังไม่รู้อีกว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล

อ.จ. แล้วเมื่อกี้กล่าวว่า เป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็ได้แต่พูดนึกเดาคาดคะเน เพราะว่าสภาพธรรมเกิดดับเร็วมากเข้าใจเท่านั้นคะ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นอีกเลยเข้าใจนี้คือตัวปัญญาๆ เจริญขึ้นมัคคมีองค์เป็นแปด ก็คือปัญญาที่เจริญขึ้นปัญญาเจริญเมื่อไรเมื่อเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฎไม่ใช่ไปจำชื่อแล้วตอบได้ว่าขณะนั้นรู้ว่าเป็นกุศลขณะนั้น รู้ว่าเป็นอกุศลแต่ว่าเดี๋ยวนี้ขณะนี้เป็นธรรมอะไร ตอบเพราะจำหรือว่าเพราะสติกำลังรู้ลักษณะนั้นก็ต้องฟังไปจนกว่าจะเข้าใจขึ้น

บุษ. ที่ว่าคิดจะต้องเกิดดับหทยวัตถุ

อ.จ. อะไรนะคะพูดใหม่

บุษ. มีคิดคิดนี่จะต้องอาศัยหทยวัตถุเกิดทุกๆ ขณะจิตใช่ไหม เพราะอาจารย์เคยกล่าวว่า

อ.จ. ดิฉันเคยกล่าวเอามาจากไหนพูดเองหรือยังไงถ้าไม่ใช้คำนี้จะไม่ใช้ เลยว่าใครพูดเมื่อไร ทำไมต้องอ้างอิงคำพูดของคนอื่นถึงจะได้ยินได้ฟังได้อ่านมาก็ตามเข้าใจอย่างไร สงสัยอย่างไร เป็นความคิดของเราแล้วก็ถามแต่ไม่ใช่ไปยึดถือว่าคนนั้นกล่าวคนนี้กล่าวเหมือนกับว่าใครพูดก็ต้องตามคนพูดไม่ถูกต้องแต่ใครจะพูดยังไงก็ตามแต่ แต่เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจอย่างไรสงสัยยังไงคิดยังไงก็สนทนากันได้เป็นเรื่องของเราเอง

บุษ. มีความสงสัยว่าสภาพคิดนี้ทุกขณะจิตนี้อาศัยหทยวัตถุเกิด

อ.จ. รู้มากจริงๆ เพราะว่าขณะนี้หทยวัตถุอยู่ที่ไหมแต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งที่รู้ว่าจิตที่เกิดในภูมิที่มีขันธ์ห้า จะต้องเกิดที่รูปจะเกิดนอกรูปไม่ได้เลยจะเกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่ได้เพราะไม่ใช่อรูปพรหมภูมิ แต่ว่าในภูมิ ที่มีขันธ์ห้าไม่ว่าจิตเกิดขึ้นขณะไหนต้องมีรูปเป็นที่อาศัยเกิดขึ้นอาศัยกันและกันในขณะปฏิสนธิเกิดขึ้น แค่นี้เองหรือว่าคิดเกิดที่หทยวัตถุทุกขณะที่คิดในภูมิที่มีขันธ์ห้าจิตและเจตสิกต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใดจึงเรียกรูปที่เป็นที่เกิดของจิตว่า “วัตถุรูป” เป็นที่อาศัยเกิดจิตเห็นเกิดที่ไหนคะ

บุษ. จิตเห็นเกิดที่จักขุวิญญาณ

อ.จ. เหมือนเข้าใจ แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆ

บุษ. จิตเห็นอาศัยจักขุวัตถุรูป

อ.จ. เป็นอะไรคะจักขุวัตถุ

บุษ. จักขุวัตถุเป็นลักษณะความใสเป็นลักษณะพิเศษที่สามารถให้จักขุวิญญาณเกิดได้ค่ะถูกต้องไหมคะ

อ.จ. คิดเองหรือปรับปรุงมาจากโน่นนิดนี่หน่อย

บุษ. ปรับปรุงมาจากการได้ยินได้ฟังมา

อ.จ. ถ้าตรงไปตรงมาคือ ฟังแล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง แล้วจะทำให้ชัดเจนขึ้น

นิภัทร มีพระพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่ง ว่า ท่านทั้งหลายจงมาดูโลกนี้อันวิจิต ตระการดุจราชรถที่พวกคนเขลาหมกมุ่นอยู่ แต่พวกผู้รู้ หาข้องอยู่ไม่ โลกนี้อีกคำหนึ่งที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายถึง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โลกทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ โลกซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว ท่านจึงบอกให้ดู ไม่ได้บอกให้ไปดูที่ป่า ที่เขา ที่ไหนตามถ้ำที่ไหน ทุกคนมีอยู่นี้ ดูหรือยัง ต้องเสพจนคุ้น ต้องทำให้เจริญ ไม่ใช่ครั้งสองครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะเป็นความเข้าใจจริงๆ ของเรา จนเป็นความรู้ของเราเอง จนเข้าถึงของจริงที่มีอยู่ และขณะกำลังปรากฎในขณะนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
aiatien
วันที่ 7 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 7 ก.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
dhammafellow
วันที่ 8 ก.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
คุณ
วันที่ 18 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pornpaon
วันที่ 18 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 24 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ