ฟังพระธรรมอย่างไรจึงสบาย

 
เมตตา
วันที่  20 เม.ย. 2552
หมายเลข  12006
อ่าน  1,535

การฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง ขณะนั้นสบาย การฟังพระธรรม

ไม่ใช่ไปคิดเอาเองแล้วเกิดความสังสัย สับสน วุ่นวาย หรือมีความต้องการอยากให้สติเกิด เพราะขณะที่ต้องการ หรือขณะสงสัยขณะนั้นเป็นอกุศลจิตไม่สบายเลย บางท่าน

คิดว่าฟังพระธรรมสบายๆ คือการฟังไปคุยไป หรือคิดอย่างอื่นไปแบบผ่อนคลายสบายๆ

ขณะนั้นเป็นอกุศลเพราะไม่เข้าใจพระธรรมจึงไม่สบาย ขณะที่ฟังพระธรรม

และพิจารณาตามสิ่งที่ได้ฟังแล้วเข้าใจขณะนั้นสบายค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 20 เม.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ความสบายอาจจะเข้าใจแตกต่างกันไป สบายด้วยเวทนาความรู้สึกเป็นสุขแต่เวทนาความรู้สึกเกิดกับจิตทุกดวงรวมทั้งอกุศลธรรม หรือขณะที่เป็นอกุศล มีโลภะ อาจจะคิดว่าสบาย แต่ไม่สบายเลย เพราะนำไปสู่ความไม่สบายคือวัฏฏะและความเสื่อม

ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ขณะนั้นสบายด้วยกุศลและนำไปสู่ความเจริญของปัญญา นำไป

สู่การดับกิเลสอันเป็นความสบายอย่างแท้จริง ไม่มีความสบายอะไรประเสริฐเท่ากับการ

เข้าใจพระธรรม ละคลายอกุศล ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
นายเรืองศิลป์
วันที่ 21 เม.ย. 2552

เพราะเหตุที่เคยฟังพระธรรมมาก่อน จึงได้มาฟังพระธรรมอีกครั้ง เพื่อความรู้และเข้าใจในความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ทีละเล็กละน้อย เป็นการเจริญจิตมหากุศลมีความโสมนัสยินดีประกอบด้วยปัญญา ขณะฟังจึงมีการละคลายความไม่รู้ กุศลส่งผลให้มีความสุข เบา สบาย โดยไม่ต้องไปกำหนดใดๆ เลย

ขออนุโมทนาบุญทุกท่านที่ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมในชาตินี้

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 21 เม.ย. 2552

ฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟังเพื่อหวังความสบายใจ ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา เวทนาที่เกิดกับกุศล ทำให้สบายใจ ถึงจะไม่ได้ดีใจแต่ความรู้สึกเฉยๆ ในขณะนั้นก็สงบจากอกุศลชั่วขณะ ไม่ฟังพระธรรมเพื่อหวังคลายทุกข์ หรือฟังเพื่อหวังให้พระธรรมปลอบให้สบายใจชั่วครั้งชั่วคราว แต่ฟังเพื่อให้รู้จักทุกข์ และเข้าใจทุกข์ตามความเป็นจริง จนเห็นแจ้งในทุกข์ ในเหตุแห่งทุกข์ ในการดับทุกข์ และในหนทางในการดับทุกข์ ว่าเป็นธรรมะทั้งหมด ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา .........ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 21 เม.ย. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 21 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 21 เม.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เชิญคลิกฟังธรรม
สนทนาธรรมที่บ้านคุณหมอทวีป ถูกจิตรเชิญคลิกฟังสบายๆ ได้เลยครับฟังสบายๆ ตอนที่ 1ฟังสบายๆ ตอนที่ 2ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 21 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาคุณ paderm ค่ะ คลิกฟังสบายๆ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น

สบายจริงๆ ค่ะเมื่อรู้ว่าเพราะไม่มีเราที่กำลังฟังธรรมะ สบายเมื่อรู้ว่าทั้งหมดเป็นธรรมะ

..............................................

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
deedee
วันที่ 21 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Komsan
วันที่ 21 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
khampan.a
วันที่ 23 เม.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ฟังธรรม สบายๆ หมายถึง ในขณะที่มีความเข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ฟัง อย่างสบายๆ โดยที่ไม่ต้องมีการพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ใช่เพียงสักแต่ว่าฟัง เท่านั้นและประการที่สำคัญ การฟังธรรม ไม่ใช่ไปเพิ่มความหนักอกหนักใจ เพราะเหตุว่าเข้าใจก็คือเข้าใจ ไม่เข้าใจก็คือ ไม่เข้าใจ เมื่อยังไม่เข้าใจก็ต้องฟังต่อไป อย่างไม่ท้อถอย ด้วยจุดประสงค์ที่ถูกต้อง คือ เพื่อความเข้าใจ เท่านั้น ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ที่สำคัญคือ ไม่ขาดการฟัง ถ้าเดือดร้อนใจ หนักอกหนักใจขณะใด ขณะนั้นกล่าวได้ว่าเป็นการเสียเวลา และเปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง ดังนั้น แค่ไหนก็แค่นั้น จริงๆ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nida
วันที่ 26 เม.ย. 2552

การฟังธรรมสบายๆ เหมือนค่อยๆ ทานอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย คือ ค่อยๆ เคี้ยว

อาหารให้ละเอียด ไม่ต้องรีบกิน ไม่ต้องตักคำมากๆ ตักแต่พอเหมาะกับคำ ของปากเรา

อาหารนั้น ก็ จะไม่เป็นโทษแก่ร่างกาย และร่างกายก็ได้รับสารอาหารได้ตามเหตุ ตาม

ปัจจัยที่เหมาะสม ทานอาหารไปสบายๆ อิ่มแล้วก็พอ แค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ต้องไปฝืนให้

อึดอัด (กินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน) พอที่ท้องจะรับได้ไม่ต้องเดือดร้อนเลย ผมทาน

พระธรรมมาแล้ว 6 ปี สบายๆ ไปเรื่อยๆ ยอมรับว่าปีแรก ทานอาหารอย่างตะกละและก็

อึดอัดมากด้วย เพราะโลภะเป็นเหตุที่มองเห็นยากครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pornpaon
วันที่ 27 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pongpranot
วันที่ 28 เม.ย. 2552


โดยนัยยะการฟังแห่งข้าพเจ้า ก่อนฟัง จะปรับอารมณ์ในการฟังก่อน หรือฟังไปด้วย

น้อมจิตไปด้วย โดยอนุสติใดๆ ก็ได้ ข้าพเจ้าเคยพิจารณาการน้อมจิตของตนว่าน้อม

เท่านี้พอหรื่อยัง ถ้ายังไม่พอก็ปรับ ให้น้อมเข้าไปอีก และถ้ายังไม่พอก็ปรับ ให้น้อมเข้า

ไปอีก ด้วยการระลึกถึงอนุสติใดๆ ก็ได้ครับ น้อมไปจนน้ำตาปิติแห่งศรัทธาไหลออกมา

เอง มีศรัทธาแน่นอยู่ในอกจนชีวิตนี้สละได้เพื่อทางสายเอก พอเกิดกำลังแห่งศรัทธา

แล้ว ให้เพิ่มสติเข้าไปเพื่อคอยควบคุมเจตนาแห่งจิตให้เกิดสมาธิมั่นคง เพื่อสำเหนียก

ธรรมเทศ ด้วยการพิจารณาอย่างละเอียดแห่งปัญญาตน ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pornpaon
วันที่ 28 เม.ย. 2552

การฟังธรรม คงต้องมีทั้งศรัทธา ฉันทะ และวิริยะ ไม่เช่นนั้นคงไม่ฟัง

การน้อมไปเพื่อฟังและพิจารณาไตร่ตรองเรื่องที่ฟังก็ดี

ล้วนเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาแล้วที่จะน้อม ที่จะพิจารณา

ขณะใดที่มีความเข้าใจ เพราะขณะนั้น มีเหตุพร้อมที่จะให้เข้าใจ ความเข้าใจก็เกิด

ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้น สบาย ด้วยกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา (ชั่วขณะหนึ่ง)

เพราะความเข้าใจ จะเอาความเป็นตัวตนไปสร้างหรือทำขึ้นไม่ได้เลย

จะเพิ่มหรือลดอะไรด้วยความเป็นตัวตนก็ไม่ได้เช่นกัน

ฟังแล้วสบาย หรือฟังแล้วไม่สบาย ก็ล้วนแต่บังคับบัญชาไม่ได้

ทุกอย่างเกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมค่ะ

ขออนุโมทนาพี่เมตตา

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
พุทธรักษา
วันที่ 29 เม.ย. 2552

เข้าใจว่า........
หากเราประพฤติปฏิบัติสิ่งใด........ด้วยความเข้าใจ

รู้จุดประสงค์ที่แท้จริง ว่า สิ่งที่ปฏิบัตินั้น...เพื่ออะไร

รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง......ว่า มีกำลังแค่ไหนและ รู้ว่า "หนทางที่จะดับทุกข์" ได้นั้นต้องประกอบด้วย "เหตุปัจจัย" ใดบ้าง.!เราคง...ไม่เดือดร้อนและ "ฟังธรรมด้วยความสบาย"เพราะว่า เราเข้าใจเรื่อง "เหตุที่สมควรแก่ผล"
.
.
.
ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
vikrom
วันที่ 30 เม.ย. 2552

ถ้าเข้าใจลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงก็สบายครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ