...ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา

 
พุทธรักษา
วันที่  4 พ.ย. 2551
หมายเลข  10292
อ่าน  1,611

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


สนทนาธรรมที่ วัดดงเทวี อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่โดย อาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พ.ศ. ๒๕๔๔

ความน่าอัศจรรย์ ก็คือ "เสียง" และการที่มี "สภาพที่ได้ยินเสียง" จากที่ไม่ได้ยิน แล้วมี "ธาตุ" ที่เกิดแล้วได้ยินเสียงขึ้นเมื่อไตร่ตรองแล้ว จะเข้าใจความหมายของ "อายตนะ" ความเข้าใจคือขณะที่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดแล้วสามารถที่จะเข้าใจใน "ธาตุ" ทั้งหมด ที่มีอยู่ตรงนั้นได้ เช่น "ธาตุรู้" หรือ "สภาพรู้" ที่ได้ยินเสียง ถ้าธาตุนี้ไม่เกิด เสียงจะปรากฏไม่ได้เลยและการที่ "ธาตุได้ยิน" จะเกิดขึ้นได้ยินเสียงต้องมี (ธาตุ) "โสตประสาท" ด้วย "ธาตุได้ยิน" จึงจะเกิดได้

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดปรากฏ ให้จิตรู้ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เกิดปรากฏให้จิตรู้สั้นมาก แล้วดับไปทันที

ทั้งหมดนี้ เพื่อให้เห็น "ความเป็นอนัตตา" แม้ในขั้นการฟังเราต้องมีความเข้าใจใน "ความเป็นอนัตตาขั้นการฟัง" (แม้ขั้นการฟังก็ต้องมีเหตุปัจจัย บังคับบัญชาไม่ได้)

จึงไม่ต้องไปห่วงเรื่อง "สติปัฏฐาน" เพราะว่าเมื่อไรก็ตาม ที่มีการ "ระลึกรู้" สิ่งที่กำลังปรากฏคือ อนุปัสสนา ระลึกตามสิ่งที่มี ที่กำลังปรากฏ เช่น "แข็ง" ที่ปรากฏให้รู้ได้ในขณะนี้ก็มีการระลึก "ลักษณะแข็ง"ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ เป็นต้น

จากการศึกษา ขั้นปริยัติเราทราบว่าต้องมี "กายทวารวิถีจิต" คือจิต ที่อาศัยกายปสาทเป็นทวาร ทำให้รู้สิ่งที่แข็งได้เมื่อกายทวารวิถีดับไป จิตที่รู้แข็งก็ดับ "ลักษณะแข็ง" ที่ดับไปแล้ว (หลังจากมีภวังคจิตคั่น) ตามปกติทางใจก็รู้ต่อ (คือ รู้ลักษณะแข็งที่ดับไปแล้วนั่นเอง) ขณะนี้ มีทั้งกายทวารและมโนทวารโดย ทางกายทวารดับไปภวังคจิตเกิดคั่น แล้วมโนทวารรู้อารมณ์ (นั้นๆ) ต่อ

ปกติเวลาสติปัฏฐานไม่เกิด เราก็รู้เป็นเรื่องเป็นราว เช่น กระทบสัมผัส พรม หรือว่าช้อนส้อม ในชีวิตประจำวันเรารู้ โดยไม่ต้องเรียกชื่อ แต่ว่ามีการรู้ความหมายของสิ่งที่ปรากฏทางทวารนั้นๆ เวลาที่สติปัฏฐานเกิด (ลักษณะ) ก็ไม่ต่างจาก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตามปกติแต่ ไม่ได้นึกคิด ว่าเป็นช้อน เป็นสิ่งใดๆ ที่เห็นแล้วบอกได้ทันที ว่าเป็นสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้



ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ย. 2551

ทั้งหมดนี้...เพื่อให้เห็น"ความเป็นอนัตตา"แม้ในขั้นการฟังเราต้องมีความเข้าใจใน "ความเป็นอนัตตาขั้นการฟัง" (แม้ขั้นการฟังก็ต้องมีเหตุปัจจัย...บังคับบัญชาไม่ได้)

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Noparat
วันที่ 5 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 5 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 6 พ.ย. 2551

เวลาที่สติปัฏฐานเกิด (ลักษณะ) ก็ไม่ต่างจาก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตามปกติแต่ ไม่ได้นึกคิด ว่าเป็นช้อน...เป็นสิ่งใดๆ ที่เห็นแล้วบอกได้ทันที ว่าเป็นสิ่งนั้น เป็นสิ่งนี้

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 6 พ.ย. 2551

หัวใจพระพุทธศาสนา คือความเป็นอนัตตาของสิ่งที่มีจริง อนัตตา หมายถึง ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อิสระ เพราะธรรมะเกิดดับตามเหตุปัจจัย (ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง ทรงไว้ซึ่งลักษณะเฉพาะของตน)

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 6 พ.ย. 2551

หัวใจของพระพุทธศาสนาอีกนัยหนึ่ง สอนให้ละชั่ว ทำความดี อบรมจิตให้ผ่องใสค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornpaon
วันที่ 6 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ . . .

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ajarnkruo
วันที่ 6 พ.ย. 2551

ยากที่ปัญญาของใครจะเห็นความเป็นอนัตตาถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 4 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ