เมื่อใกล้จะตายให้นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำไว้ จะได้ไปเกิดในสุคติภูมิ จริงหรือ

 
chatchai.k
วันที่  29 ก.ค. 2557
หมายเลข  25181
อ่าน  1,678

หัวข้อนี้อาจเป็นที่สนใจของคนเป็นจำนวนมาก เพราะอีกไม่นานทุกคนต้องตายแน่นนอน มีคนจำนวนไม่น้อยที่เข้าใจว่า หากผู้ที่กำลังป่วยหนักใกล้สิ้นชีวิต ถ้านึกถึงบุญกุศลที่เคยทำไว้ในช่วงชีวิตที่ผ่านมา จะทำให้ท่านผู้นั้นไปเกิดในสุคติภูมิ มีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดครับ ขอความเข้าใจที่ถูกต้องครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความคิดเห็น คุณเมตตา

ซึ่งก็ไม่ใช่รอให้ถึงก่อนตาย ค่อยคิดว่าจะทำอะไร เพราะทำไม่ทันเสียแล้ว การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องทำ แต่เป็นเรื่องเข้าใจ บุญเกิดขึ้นได้ เพราะจิตในขณะนั้นเป็นกุศล แต่การกระทำที่เกิดจากความไม่เข้าใจ ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่บุญ เช่น ให้ทานเพื่อหวังอยากให้เขาให้ประโยชน์ตอบแทน ให้เพื่ออยากให้เขาให้ตอบ ให้เพื่อหวังให้เขารัก เป็นต้น อย่างเรื่องของทาน การให้นอกพุทธศาสนาก็มีการให้ทาน การให้เพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น โดยไม่ได้หวังผล จิตขณะนั้นเป็นบุญ แต่เมื่อไม่มีความเข้าใจธรรม ก็ยังเป็นเราที่ทำบุญ ไม่รู้ว่า แท้จริงทุกอย่างเป็นธรรม แม้เราก็ไม่มี ก็ไม่เป็นเหตุให้ถึงการพ้นทุกข์ได้ เพราะยังยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา พระธรรมลึกซึ้ง เห็นได้ยาก หากไม่ฟังโดยเคารพว่าความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้น ทรงตรัสรู้อะไร ให้เข้าใจอะไร ไม่เช่นนั้น กิเลสใดๆ ก็ดับไม่ได้และไม่สามารถบรรลุธรรมได้เลย พระธรรมที่ทรงแสดงให้เข้าใจความจริง สิ่งที่มีจริงก็คือธรรม คือสิ่งที่มีจริงที่กำลังมีอยู่ มีเห็น มีได้ยิน... ทุกขณะที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่พ้นจากธรรมเลย ถ้าไม่มีสภาพธรรม อะไรๆ ก็ไม่มี พ่อ แม่ พี่ น้อง สมบัติต่างๆ เงินในธนาคารก็ไม่มี แม้เราก็ไม่มี นี่คือความจริง สภาพธรรมรู้ได้ยาก เพราะถูกหุ้มห่อด้วยเรื่องราวต่างๆ เพราะความไม่รู้ ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมจึงถูกห่อหุ้มด้วยบุคคลต่างๆ เรื่องราวต่างๆ .. มีสมบัติไหม? มีแต่ในความคิด เพราะจำไว้ว่ามีสมบัติ ที่แท้จริงก็คือบุญ เพราะสมบัติมาได้ด้วยบุญ เมื่อฟังพระธรรมเริ่มเห็นประโยชน์ของพระธรรม มีเพียงหนทางเดียวที่จะพาไปสู่สุคติภูมิ และสูงสุดไปสู่การดับทุกข์ ไม่เกิดอีกเลย ก็คือ บุญ เพราะฉะนั้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เวลาเหลือน้อยเต็มที ควรที่จะไม่ประมาทว่าพระธรรมนั้นง่าย ไว้ตอนแก่ค่อยฟัง มีชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อปัญญาปรากฏ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามความเป็นจริง หนทางเดียวจริงๆ ก็คือ ฟังแล้วเข้าใจขึ้น อยู่ด้วยความเข้าใจถูก

ขออนุญาตเพิ่มเติมข้อความบางตอน

จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

"...ความจริง ความตายเร็วที่สุด ก่อนตายอาจจะนอน ป่วย ไข้ หรือ สนุกสนานร่าเริง แต่พอถึงเวลาตายก็ตายได้ แม้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็ตายได้ เพราะฉะนั้น ความตายตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ชั่วขณะจิต ดังนั้น ใครจะรู้ว่าเมื่อใดถ้าคิดว่าก่อนตายจะทำอย่างไร จงทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ แต่ว่าไม่มีใครจะไปทำอะไรได้ เพราะปกติ คนอยากจะมีกุศลทุกวัน แต่ตามเหตุ พอมีเหตุของอกุศล อกุศลก็เกิด... และไม่ต้องคร่ำครวญว่า อกุศลมากเหลือเกิน เพราะเหตุว่า ถ้ารู้เรื่องเหตุและผลแล้ว และรู้ว่ากุศลน้อย ก็ต้องอบรมเจริญกุศลโดยไม่ประมาท เพราะฉะนั้น ถ้ากลัวเกิดในอบายภูมิ ต้องเป็นผู้ไม่ประมาทในการอบรมเจริญกุศล โดยเฉพาะการเจริญปัญญา เพราะพระอริยบุคคลเท่านั้น ที่จะไม่เกิดในอบายภูมิ แต่ถ้าไม่เป็นพระอริยบุคคล อกุศลกรรมที่มี ที่ได้กระทำแล้ว ไม่เฉพาะที่ทำในชาตินี้ ...อาจจะเป็นชาติไหนๆ ก็ได้ จากอดีตหลายแสนโกฏิกัปป์ ก็อาจจะมาทำให้เกิดในชาตินี้ได้ แต่เรื่องที่จะทำอะไรก่อนตาย ไม่มีใครทำได้จริงๆ เหมือนกับขณะนี้จะรอทำไมให้ถึงก่อนตาย ทำเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทำให้จิตเป็นกุศลเสียเดี๋ยวนี้ ให้ปัญญาเกิดเสียเดี๋ยวนี้ แทนที่จะไปรอทำก่อนตาย..."

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
peem
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ตราบใดก็ตามที่จุติจิต ยังไม่เกิดขึ้น ก็ตายไม่ได้ แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจตามความเป็นจริง ก็ย่อมไม่สามารถจะเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงได้เลย ก็มากไปด้วยความตรึกนึกคิดเอาเอง ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริงเลย เป็นความจริงที่ว่าชีวิตของแต่ละบุคคลที่เกิดมาแล้วล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีชาติ คือ มีการเกิดแล้ว ชราย่อมติดตาม พยาธิก็ครอบงำและท้ายที่สุดก็ถูกมรณะคือความตายห้ำหั่น ทำให้เคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ไม่สามารถกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก ขณะที่ตาย เป็นจิตขณะสุดท้ายของภพนี้ชาตินี้ที่เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ทันทีแล้วดับไป

ขณะที่ตาย ไม่สำคัญ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ก่อนจะตาย (คือ ก่อนจุติจิตเกิดขึ้น) ต่างหากว่า จะเป็นอย่างไร กุศลจิต หรือ อกุศลเกิดก่อนตาย นี่คือสิ่งที่ควรจะได้พิจารณาจริงๆ

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ควรอย่างยิ่ง ที่จะเป็นผู้ไม่ประมาท คือ ไม่ประมาทกำลังของอกุศลและไม่ประมาทในการเจริญประการต่างๆ ซึ่งรวมถึงการอบรมเจริญปัญญาเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งๆ ขึ้นไปด้วย เพราะเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้มาถึง ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ไม่มีใครสามารถที่จะขอร้อง หรือ ผัดเพี้ยนได้เลย ดังนั้น จึงควรเจริญกุศลทันที ให้ทาน รักษาศีล ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญาทันที เพราะไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทอยู่เสมอ โอกาสที่กุศลจิตจะเกิด ก็ย่อมจะเกิดได้แม้ก่อนตาย แต่สำหรับผู้ที่ประมาทมัวเมาในชีวิต ก็จะเป็นผู้หลงกระทำกาละ (ตาย) ซึ่งก็คือตายอย่างไม่มีที่พึ่ง นั่นเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
wannee.s
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจของใคร จะเจาะจงให้กุศลเกิดก็ไม่ได้ หรือจะไม่ให้อกุศลก็ไม่ได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ข้อความบางตอนจากความเห็นที่ ๔

เป็นผู้หลงกระทำกาละ (ตาย) ซึ่งก็คือตายอย่างไม่มีที่พึ่ง

หลงกระทำกาละ มีหมายความอย่างไรครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 29 ก.ค. 2557

เชิญคลิกอ่านที่นี่ ครับ

ขันติธรรมกับการหลงกระทำกาละ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ก.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 1 ส.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
mild
วันที่ 3 ส.ค. 2557

สติ คือการระลึกเป็นไปในกุศล สมควรระลึกในกุศลทุกชั่วขณะจิตเพราะตายอยู่ทุกขณะจิต คือ ขณิกมรณะ แต่จะนึกถึงกุศลได้หรือไม่ในขณะจิตไหนไม่สามารถบังคับได้เหตุเพราะเป็นอนัตตา ธรรมมะที่ดีงามคือความสมควร การทำดี การเป็นคนดีในขณะนี้ และดีในทุกขณะจึงสมควรแก่ธรรมะ ขณะนี้เป็นเวลาที่สำคัญกว่าขณะก่อน ขณะนี้เป็นเวลาที่สำคัญกว่าขณะที่ยังไม่เกิด ขณะนี้เป็นเวลาสำคัญกว่าขณะใกล้จะตาย ถ้าเห็นว่าตายอยู่ทุกขณะ จึงรู้ได้ว่าเป็นทุกข์ เมื่อเห็นว่าทุกข์จึงไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทจึงฟังธรรม

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ