รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระโสดาบัน

 
Jeab333
วันที่  9 มี.ค. 2555
หมายเลข  20742
อ่าน  120,243

รู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระโสดาบัน สังเกตจากอะไร ยังไง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 10 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน คือ พระอริยบุคคล คือ บุคคลที่ประเสริฐ เป็นอริยะได้ด้วยปัญญา ที่บรรลุมรรค ผล ประจักษ์พระนิพพาน จึงเป็นอริยะ ผู้ประเสริฐ เพราะประจักษ์ความจริง ที่ประเสริฐ จึงชื่อว่า พระอริยะ

พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ที่บรรลุ มรรค ผล และสามารถดับกิเลสได้บางส่วน คือ ดับความเห็นผิด ความลังเลสงสัย และข้อประพฤติปฏิบัติที่ผิด และความอคติ เป็นต้น จนหมดสิ้นไม่เกิดอีก ครับ

ตามที่กล่าวแล้วว่า พระโสดาบันที่เป็นพระอริยบุคคล เป็นไปก็เพราะปัญญา ซึ่งปัญญาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ปัญญา เป็นนามธรรม อันเป็นสภาพรู้ ซึ่งนามธรรมไม่สามารถปรากฏได้ทางตา มีแต่สีเท่านั้น ที่สามารถปรากฏทางตาได้ ดังนั้น การตัดสินว่าใคร เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล จึงไม่สามารถตัดสิน สังเกตได้ทางตา เพราะทางตาเห็นเพียงสีเท่านั้น ไม่สามารถเห็นด้วยตาได้ครับ

ซึ่งในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงแสดงครับว่า ปัญญา พึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ซึ่งเรื่องราวในพระสูตรก็มีเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ครับ ว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ทรงส่งคนที่เป็นพวกสอดแนมไปสืบราชการลับ ในเมืองอื่นๆ โดยให้ปลอมเป็นนักบวช เมื่อคนสอดแนมกลับมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็แกล้งทำเป็นไหว้ คนสอดแนมที่แต่งตัวเป็นนักบวช ต่อหน้าพระพุทธเจ้า และกล่าวว่า คนเหล่านั้นเป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า การจะรู้ว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์ หรือ พระอริยบุคคล เป็นเรื่องที่ยาก เพราะ พวกเธอ ยังยินดี บุตร ภรรยา ยังไม่มีปัญญาถึงระดับนั้น และการดูภายนอกนั้น หรือ กิริยาภายนอก ย่อมไม่สามารถตัดสินได้ เพราะ คนไม่ดี ย่อมมีกิริยาที่หลอกลวงได้ พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ... ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย สังเกตจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ ครับ

เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นพระอริยบุคคล ผู้นั้นเองก็จะต้องมีปัญญาด้วย และเข้าใจหนทางการปฏิบัติเพื่อจะนำไปสู่การเป็นพระอริยบุคคล ครับ ดังนั้น ต้องมีปัญญาถึงจะรู้ได้ และมีปัญญาถึงระดับความเป็นพระอริยบุคคลเช่นกัน หรือ เสมอกว่า จึงจะรู้ได้ว่าเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ ครับ ด้วยการสนทนา สอบถาม เป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
aurasa
วันที่ 10 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ คุณผเดิม

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
homenumber5
วันที่ 10 มี.ค. 2555

อนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้และท่านวิทยากร ถึงแม้ ปุถุชนเช่นเรามนุษย์ธรรมดา จะไม่มีความสามารถทราบว่าท่านใดเป็นโสดาบัน ขอเรียนถามท่านวิทยากรดังนี้ค่ะ

๑. ในปรมัตถธรรมนั้นได้แสดงไว้ถึง ทางเดินของ ปุถุชน ที่จะมี ปัญญาเข้าสู่ ระดับโสดาบันบุคคลอย่างแน่นอนใช่ไหมคะ

๒. ดิฉันมั่นใจว่าต้องมีการแสดงไว้ แต่ เมื่อปุถุชนอ่านก็ไม่อาจเข้าใจและเดินตามได้อย่างถูกต้อง จริงไหมคะ

๓. แล้วการที่เราฟังธรรมเพื่อให้เกิดสภาพรู้ ตามสภาวธรรมที่เป็นจริง ความรู้ตามสภาวธรรมที่เป็นจริงนั้น ผู้ฟังกับอาจารย์ที่อบรมธรรม จะทำอย่างไรจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงได้ตรงกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันสงสัยมากและได้คำตอบว่าต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ และอดทนฟังไปเรื่อยๆ และต้องทำความเข้าใจว่า ที่เกิดสภาวะใดก็ตาม เราต้องระลึกว่าไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีตัวตน สัตว์บุคคลในสภาวธรรม มีแต่สภาวธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น ซึ่งประโยคนี้ ดิฉันไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่า คงจะฟังยังไม่นานไม่ลึกซึ้งพอ หรือสะสมมาไม่ดีพอ ต้องใช้เวลาอีกนานแสนนาน ข้อนี้ ท่านวิทยากร มีคำแนะนำเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร

๔. และหากคำตอบข้อ ๓ คือใช่ ต้องฟังไปเรื่อยๆ ขอถามว่า จะมีเหตุการณ์ใดที่เราสามารถ รับรู้ว่า เราเข้าใจสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตามเป็นจริงได้ถูกต้องบ้างไหม หรือว่ายากยิ่งในชาตินี้

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 10 มี.ค. 2555

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ จากคำถามที่ว่า

๑. ในปรมัตถธรรมนั้นได้แสดงไว้ถึง ทางเดินของ ปุถุชน ที่จะมี ปัญญาเข้าสู่ ระดับโสดาบันบุคคลอย่างแน่นอนใช่ไหมคะ

ใช่ครับ พระพุทธเจ้าทรงแสดง เรื่องพระอภิธรรม ปรมัตถธรรม ว่ามีแต่จิต เจตสิก รูป นิพพาน และแสดง อริยมรรค มีองค์ ๘ ว่าเป็นหนทางที่จะถึงความเป็นพระอริยบุคคล ก้าวล่วงจากความเป็นปุถุชน ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ครับ


๒. ดิฉันมั่นใจว่าต้องมีการแสดงไว้ แต่เมื่อปุถุชนอ่านก็ไม่อาจเข้าใจและเดินตามได้อย่างถูกต้อง จริงไหมคะ

ตามที่กล่าวแล้วครับว่า มีการแสดงไว้ คือ การเจริญสติปัฏฐาน หรือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งก็คือ จิต เจตสิกฝ่ายดี ที่อยู่ในปรมัตถธรรมนั่นเอง แต่ไม่จำเป็นที่ทุกคนจะสามารถปฏิบัติเดินตามได้ ผู้ใด สะสมความเห็นถูกมา ย่อมน้อมไปตามทางนี้ ผู้ที่ไม่สะสมปัญญา และความเห็นถูกมา ก็ไม่สามารถจะปฏิบัติตาม อริยมรรค มีองค์ ๘ ได้ ครับ เพราะฉะนั้น ปุถุชนผู้ที่อบรมปัญญามา สามารถเข้าถึงและเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ได้ครับ แต่ต้องใช้เวลาและค่อยๆ อบรมไป ครับ


๓. แล้วการที่เราฟังธรรมเพื่อให้เกิดสภาพรู้ ตามสภาวธรรมที่เป็นจริง ความรู้ตามสภาวธรรมที่เป็นจริงนั้น ผู้ฟังกับอาจารย์ที่อบรมธรรม จะทำอย่างไรจะเห็นสภาวะตามความเป็นจริงได้ตรงกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดิฉันสงสัยมากและได้คำตอบว่าต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ และอดทนฟังไปเรื่อยๆ และต้องทำความเข้าใจว่า ที่เกิดสภาวะใดก็ตาม เราต้องระลึกว่าไม่มีตัวตนของเรา ไม่มีตัวตน สัตว์บุคคลในสภาวธรรม มีแต่สภาวธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้น ซึ่งประโยคนี้ ดิฉันไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่า คงจะฟังยังไม่นานไม่ลึกซึ้งพอ หรือสะสมมาไม่ดีพอ ต้องใช้เวลาอีกนานแสนนาน ข้อนี้ ท่านวิทยากร มีคำแนะนำเพิ่มเติมหรือไม่อย่างไร

ข้อแนะนำเพิ่มเติม คือ แน่นอนครับว่า เรายังไม่สามรถประจักษ์ความจริงตามที่กล่าวไว้ แต่จะถึงจุดนั้นได้ ก็ฟังพระธรรมไป โดยเราจะต้องเริ่มจากความเข้าใจขั้นการฟังว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม เมื่อมีแต่ธรรม ธรรมจะปฏิบัติหน้าที่เอง อาศัยการอบรมเหตุที่ถูกต้องคือ การฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ปัญญา คือ ธรรมจะปฏิบัติเกิดขึ้นเองทีละน้อย จนวันหนึ่งอีกนานแสนนาน ย่อมประจักษ์ความจริงตามที่เรียนกัน ครับ


๔. และหากคำตอบข้อ ๓ คือใช่ ต้องฟังไปเรื่อยๆ ขอถามว่า จะมีเหตุการณ์ใดที่เราสามารถ รับรู้ว่า เราเข้าใจสภาวธรรมที่เกิดขึ้นตามเป็นจริงได้ถูกต้องบ้างไหม หรือว่ายากยิ่งในชาตินี้

ต้องเข้าใจครับว่า เราสะสมอะไรมามาก สะสมอะไรมาน้อย เพียงแค่เห็นกิเลสเกิดขึ้นเร็วทันทีโดยไม่รู้ตัวเลย จึงสะสมกิเลสมามาก สะสมความไม่รู้มามาก ปัญญาก็สะสมมาน้อย ดังนั้น ปัญญาจึงเติบโตช้า เพราะอำนาจของกิเลสที่มีกำลัง ก็จะต้องค่อยๆ เจริญต่อไปในขั้นการฟังไปก่อน ทีละน้อย แต่ยังไม่สามารถที่จะประจักษ์ความจริงได้ เพราะสะสมมายังไม่มากพอ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เราเห็นความแตกต่างระหว่างที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรม กับ ขณะนี้ที่เริ่มศึกษาแล้ว ความรู้ก็ต่างกันแล้วใช่ไหมครับ นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความเจริญของปัญญาแล้ว แต่ทีละน้อยนั่นเองครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 10 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นแรก ที่สามารถดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง ดับได้เป็นเพียงบางประเภท ยังไม่สามารถดับได้ทุกประการ เพราะผู้ที่จะดับกิเลสได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีเหลือนั้น คือ พระอรหันต์ การเป็นพระอริยบุคคลทุกขั้น เป็นได้ด้วยปัญญาและต้องดำเนินตามหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย คือ อริยมรรค มีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วย ความเห็นที่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่า มีคนบอกว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระโสดาบัน ก็จะเป็นตามนั้น เพราะถ้าไม่มีปัญญา ไม่ดำเนินตามหนทางที่ถูกต้องแล้ว ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคลได้เลย และที่สำคัญ การที่จะรู้ว่าใครเป็นพระอริยบุคคล ต้องมีปัญญาเข้าใจถูกเห็นถูก พร้อมทั้งเข้าใจด้วยว่าการเป็นพระอริยะเป็นได้ด้วยอะไร และเป็นพระอริยบุคคลที่เสมอกัน หรือ สูงกว่า จึงจะรู้ได้ บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นถึงจะรู้ได้ว่าใครเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่เป็นพระอริยบุคคล เพราะอะไรๆ ก็ไม่สามารถหลอกปัญญาได้

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมีตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ถ้าไม่ฟัง ไม่ศึกษาเลย ปัญญาย่อมไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้เลย เหตุที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น ก็คือ ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ไตร่ตรองพิจารณาในเหตุในผลของธรรม ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะฟังพระธรรมส่วนไหน ก็ไม่พ้นไปจากเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีจริงในขณะนี้จริงๆ ปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ในแต่ละภพในแต่ละชาติ มีชีวิตอยู่ก็เพื่อได้ฟังพระธรรม ได้สะสมอบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกยิ่งขึ้น ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 10 มี.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ... ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ไม่ใช่เวลาเล็กน้อย สังเกตจึงจะรู้ได้ ผู้มีปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ ครับ

และมีปัญญาถึงระดับความเป็นพระอริยบุคคลเช่นกัน หรือ เสมอกว่า จึงจะรู้ได้ว่าเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่ ครับ

"ด้วยการสนทนา สอบถาม เป็นสำคัญ ครับ"

ขอบคุณ และขออนุโมทนาอ.ผเดิมและทุกๆ ท่านด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Graabphra
วันที่ 11 มี.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
homenumber5
วันที่ 11 มี.ค. 2555

ขออนุโมทนาทุกท่าน คำตอบที่ได้ช่วยเพิ่มความเข้าใจมากขึ้นโดยเฉพาะ ที่ว่าธรรมที่ฟัง เมื่อมีแต่ธรรม ธรรมจะปฏิบัติหน้าที่เอง

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 13 มี.ค. 2555

ในพระไตรปิฎกก็มีแสดงไว้ ปุถุชนไม่สามารถรู้ปัญญาของพระโสดาบัน ต้องเป็นพระโสดาบันด้วยกันจึงจะรู้ได้ และพระโสดาบันก็ไม่สามารถรู้ปัญญาของพระสกทาคามี พระสกทาคามีไม่สามารถรู้ปัญญาของพระอนาคามี พระอนาคามีไม่สามารถรู้ปัญญาของพระอรหันต์ ต้องมีคุณธรรม และ ปัญญาเสมอกัน จึงจะรู้ได้ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 14 มี.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wanipa
วันที่ 14 มี.ค. 2555

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
josas
วันที่ 20 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Komsan
วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chadcha
วันที่ 18 ก.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ทำดีทูเดย์
วันที่ 19 ก.ย. 2555
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chaiporn
วันที่ 5 ต.ค. 2555

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
isme404
วันที่ 12 ต.ค. 2555
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
maxnakub2
วันที่ 23 ต.ค. 2555

อนุโมทนาครับ :)

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
napachant
วันที่ 24 ต.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
กฤต
วันที่ 26 ต.ค. 2555

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
nopwong
วันที่ 20 พ.ย. 2555

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 28  
 
pornchai.s
วันที่ 29 พ.ย. 2555

ผู้ใดมีปัญญามากหรือน้อยรู้ได้จากการสนทนากัน โดยเฉพาะพระธรรมของพุทธองค์นั้นต้องอาศัยการสะสมมาของแต่ละบุคคล ดังนั้นหลายๆ ท่านฟังมากเข้าใจน้อย บางท่าน (เท่านั้น) ฟังน้อยเข้าใจได้มาก แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ก็ควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ตามพระปัจฉิมโอวาทของพุทธองค์ คือไม่ขาดการฟัง (การอ่าน) และการศึกษาพิจารณาพระธรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 29  
 
wittawat
วันที่ 29 พ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ขอร่วมสนทนาตามความเข้าใจครับ

เป็นคำถามที่น่าสนใจนะครับ แล้วรู้แล้ว เพื่ออะไร? บางคนต้องการทำบุญ กับพระโสดาบันบ้าง ต้องการเทียบเคียง ว่าตนเองเป็นหรือยังบ้าง ทั้งหมดก็ด้วยความต้องการ แต่ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อรู้ เหตุของการเป็นพระโสดาบัน หรือเหตุใด พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงแสดงธรรม เพราะสิ่งที่สำคัญ เพื่อความเข้าใจความจริง

จึงขอเชิญชวนให้ฟังธรรมก่อนครับ แล้วความเข้าใจนั้นเอง เป็นปัจจัยให้ความเข้าใจละเอียดยิ่งขึ้น การเป็นพระโสดาบันมีไม่ได้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย เพราะไม่ใช่พระผู้มีพระภาคเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่สามารถเข้าใจธรรม แทงตลอดสภาพธรรมได้ โดยไม่ต้องฟังในชาติที่ตรัสรู้ ซึ่งจะอบรมบารมี เช่นนั้นได้ก็ยากยิ่ง เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการฟัง เข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้ เป็น ปัญญาที่เกิดจากการฟัง เช่น การฟังว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา มีความจริงทีละหนึ่งๆ เป็นต้น ความจริงที่ทรงแสดงไว้ว่าธรรม เช่น เสียง เป็นต้น เกิดขึ้นและดับไปอย่างนี้ แต่แม้ทรงแสดงอย่างนี้ ผู้ที่ฟังก็ไม่ได้เห็นตามที่ทรงแสดงอย่างนี้ ยังเห็นว่าไม่มีอะไรดับไปเลย ก็ยังเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เพราะไม่ได้มีปัญญาที่รู้อย่างนั้น ปัญญาต้องอบรมเจริญขึ้นเป็นลำดับขั้น ตามที่ทรงแสดงไว้ คือ การฟังเข้าใจธรรม ปัญญาที่เข้าใจ ทำกิจที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งละเอียดขึ้นๆ จากการฟังเข้าใจนั้น และปัญญาที่ประจักษ์ในลักษณะของธรรมนั้น และปัญญาที่จะถึงความเป็นพระโสดาบันได้นั้น ก็ไม่ใช่เพียงการประจักษ์แจ้งธรรมที่เกิดดับเท่านั้น ต้องมีปัญญาที่ละเอียดกระทั่งการประจักษ์แจ้งธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ ซึ่งอกุศลธรรมที่สะสม นอนเนื่องมา ตลอดทั้งสังสารวัฏฏ์ คือ ความเห็นผิด ความสงสัยในสภาพธรรม การประพฤติในข้อปฏิบัติผิดเพื่อการรู้แจ้ง เป็นต้น จะสามารถดับได้ ไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ต้องด้วยปัญญาพร้อมกุศลธรรมที่อบรมละเอียดขึ้นแล้ว ตามที่ทรงแสดงไว้ และที่จะเข้าใจความจริงได้ทั้งหมดเป็นเรื่องของปัญญา ซึ่งภาษาไทย ก็คือ การเข้าใจความจริงที่มีในขณะนี้

คัมภีร์วิสุทธิมรรค คัมภีร์ปฏิสัมภิทามรรค รวมทั้งพระสูตรต่างๆ เช่น สามัญญผลสูตร เป็นต้น มีการแสดงเรื่องของปัญญา ที่เจริญยิ่งขึ้นจากปุถุชน ตั้งแต่ขั้นการฟัง จนกระทั่งปัญญาที่ถึงความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งท่านผู้ที่ถามสามารถศึกษาได้ แต่ทั้งหมด เบื้องต้น คือ เริ่มจากการฟังธรรมเข้่าใจก่อน ว่ามีความจริงในขณะนี้ และเริ่มที่จะเป็นผู้ที่ละเอียด ศึกษาเข้าใจความจริงในขณะนี้

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 30  
 
Boonyavee
วันที่ 1 ธ.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 31  
 
Graabphra
วันที่ 2 ธ.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 32  
 
Pratchaya
วันที่ 7 ม.ค. 2556

ละสังโยชน์ขั้นต่ำ ๓ อย่างได้ คือสักกายทิฎฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส จิตตกกระแสพระนิพพาน เป็นโสดาบันบุคคล

สังโยชน์ ๑๐ คือ ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ มี ๑๐ อย่าง

๐๑. สักกายทิฎฐิ คือ ความเห็นว่า เป็นตัว-เป็นตน เช่น เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นตัว เป็นตน

๐๒. วิจิกิจฉา คือ ความสงสัย ความลังเล

๐๓. สีลัพพตปรามาส คือ ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไป อย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร

๐๔. กามราคะ คือ ความกำหนัดในกาม ความติดใจในกาม

๐๕. ปฎิฆะ คือ ความกระทบกระทั่งใจ ความหงุดหงิด ขัดเคือง

๐๖. รูปราคะ คือ ความติดใจในอารมณ์แห่งฌาน หรือรูปธรรมอันประณีต

๐๗. อรูปราคะ คือ ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน

๐๘. มานะ คือ ความสำคัญตน

๐๙. อุทธัจจะ คือ ความฟุ้งซ่าน

๑๐. อวิชชา คือ ความไม่รู้จริง

 
  ความคิดเห็นที่ 33  
 
แมวทไวไลท์
วันที่ 15 ม.ค. 2556

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 39  
 
Nongnuch
วันที่ 8 มี.ค. 2556

Adhumotana ka

 
  ความคิดเห็นที่ 44  
 
chalee234
วันที่ 23 ก.ค. 2556

ผู้ที่จะทราบว่าใครเป็นโสดาบัน ผู้นั้นย่อมเป็นและรู้ได้ด้วยปัญญาแห่งตนและรู้ได้ด้วยปัญญาที่เสมอกัน หรือปัญญาที่สูงกว่าครับ ผู้ที่เข้าถึงเท่านั้นจึงทราบและรู้ได้ ถ้าเข้าถึงคำว่าทุกข์ไม่เกาะใจก็ใกล้แล้วละครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 45  
 
Kiwilemon
วันที่ 13 มี.ค. 2557

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 46  
 
นักธรรมน้อย
วันที่ 26 ธ.ค. 2557

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 48  
 
singing-111
วันที่ 26 เม.ย. 2559

อนุโมทนา สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 49  
 
nadthakrich
วันที่ 13 ส.ค. 2559

สาธุ ปัญญาสำคัญยิ่ง สั่งสมจนเหตุปัจจัยถึงพร้อม

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 50  
 
ธีรภัทร
วันที่ 5 มิ.ย. 2562

เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 51  
 
chatchai.k
วันที่ 5 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
  ความคิดเห็นที่ 52  
 
OPen
วันที่ 13 พ.ค. 2564

สาธุธรรมครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 54  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ต.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ