วิญญาณแฝงมีจริงหรือไม่ การเผาบัญชีบาปมีจริงหรือไม่

 
medulla
วันที่  8 ก.ค. 2549
หมายเลข  1566
อ่าน  16,358

ดิฉันได้ รู้จักกับพี่ท่านนึงที่มูลนิธิฯ บ้านธัมมะ เราก็ได้ศึกษาธรรมะจากมูลนิธิฯมาด้วยกัน จากนั้นไม่นาน พี่เค้าก็บอกว่า เค้าได้เรียนนั่งกรรมฐานกับทางแม่ชีพิมพาด้วย

ดิฉันก็แปลกใจว่าตอนแรกทำไมบอกว่า อบรมเจริญปัญญาอย่างเดียว แต่ตอนนี้พี่เค้ามาสารภาพว่า ฝึกกสิณและอภิญญาอยู่ เพราะว่า ยุคนี้เป็นกลียุค ผีป่าจะเข้าเมืองมาทำร้ายคน เค้าต้องฝึกไว้ เพื่อป้องกันตัว (ดิฉันก็อึ้ง ไม่อยากเชื่อเท่าไหร่) จริงเหรอคะที่ว่า ช่วงกลียุค ต้องฝึกฤทธิ์ไว้ป้องกันตัว แล้ว "ผีป่าจะเข้าเมือง" นี่เอามาจากตอนไหนของพระไตรปิฎกเหรอ เขาอ้างว่ามีในพระสูตรอะค่ะ

ทีนี้ดิฉันก็ไปเที่ยวที่บ้านพี่เค้า แล้วก็เจอกับเพื่อนๆ ที่บ้าน พวกเพื่อนๆ ที่เช่าอยู่กับเค้า ก็ได้ฝึกกรรมฐานกับแม่ชีพิมพา จนสัมผัสวิญญาณและอีกโลกหนึ่งได้ ทีนี้ เค้าก็บอกว่า ดิฉันมีวิญญาณแฝงตามเป็นร้อยๆ ตัว

เค้าบอกว่า วิญญาณพวกนี้ ตามมาจากสถานที่ต่างๆ มาอาศัยเราบ้าง อยากกินอะไรก็จะดลใจให้เราอยากกินอันนั้นด้วย บางทีมาดลใจให้เราเป็นคนนิสัยแบบนั้นแบบนี้ บางทีก็มาขัดขวางการปฏิบัติธรรมของเรา บางทีก็มาหลอกทำนิมิตให้เราเชื่อ

แต่ดิฉันเองไม่ได้สนใจฝึกแบบนั่งเอานิมิตอยู่แล้ว ตั้งแต่มาศึกษากับทางบ้านธัมมะก็ไม่เชื่อว่า สิ่งที่เค้าเห็นนั้นจะเป็นจริง ตอนนี้พี่คนนั้นก็บอกว่า วิญญาณที่ตามดิฉันมา ไปแกล้งเค้าและเพื่อนๆ ตอนกลางคืน เหตุเพราะพวกเค้ามาเสวนาธรรมกับดิฉัน เช่นไปกระทืบหน้าอกบ้าง ไปกัดแขนกัดขาบ้าง เค้าบอกว่า ถ้าเล่าเรื่องนี้ไป ยากที่จะมีคนเชื่อ เพราะต้องปฏิบัติแบบอภิญาตาทิพย์ แนวกสิณ ถึงจะรู้จะเห็นได้

เค้าก็ส่งลิงค์มาให้ดู เป็นประสบการณ์ของพี่ทหารพันตรีคนนึง เค้าฝึกกับแม่ชีพิมพา ตั้งแต่ปี 2530 เค้าทำเวบให้คนมาดาวน์โหลดประสบการณ์ฝึกอภิญญาตาทิพย์ให้คนอ่าน มีเล่าเรื่องอสูร เรื่องมาร วิญญาณที่มาแฝงคน เพื่อดลใจคน ดิฉันอ่านแล้ว เค้าก็อธิบายเรื่องวิญญาณที่มาแฝงในร่างกายคน มาคอยติดตามคน เพื่อกลั่นแกล้งรังแกต่างๆ หรือ เพื่อหลอกภาพนิมิตให้คนเชื่อ เช่น มาจูงจิตให้เห็นภาพเมืองนิพพาน เห็นภาพวิมานต่างๆ พวกพี่ๆ เค้าจะไม่เชื่อแนวมโนมยิทธิหรือธรรมกายเค้าบอกว่า มีวิญญาณมาแฝงที่ม่านตา ทำให้เห็นวิมานเห็นภาพเมืองที่เทวดาฝ่ายมิจฉาทิฏฐิมาจูงจิต (สำนักแม่ชีพิมพาเค้าจะไม่ส่งเสริมทางมโนมยิทธิหรือธรรม-กายหรือการทรงเจ้าใดๆ เลย)

ทีนี้ เค้าก็บอกว่า เค้าสามารถนั่งกรรมฐานแนวกสิณ เพื่อยกบุญกุศลไปเผาบัญชีบาปได้ เค้าบอกว่า บาปกรรมนั้นจะแบ่งคราวละ 500 ชาติ แม่ชีพิมพาไปตกลงกับทางพระพรหม ทางยมบาลไว้ว่า ถ้าลูกศิษย์นั่งสมาธิได้ฌาน ก็จะยกบุญไปเผาบัญชีบาปได้และจะทำให้ช่วยญาติๆ ที่ตกนรกได้

ลองอ่านดูหน่อยค่ะ แล้วแนะนำที ว่า แบบนี้ อุปาทานหรือไม่ ปล่อยไปนานๆ จะมีผลดีผลเสียต่อพระศาสนาอย่างไร ในยุคนี้ยังมีคนทำแบบนี้ได้จริงๆ เหรอคะ เค้าอ้างว่า แม่ชีพิมพา นำการปฏิบัตินี้มาจาก พระอภิธรรมปิฎก ตอนนี้เค้าก็ไปจัดเต๊นท์ที่งานสนามหลวง เผยแพร่วิธีนี้ สอนคนฝึกตาทิพย์ไปนรกสวรรค์ เพื่อเผาบัญชีบาปและช่วยเหลือญาติๆ ไม่ทราบว่า แบบนี้มีในอภิธรรมตรงไหนไม่ทราบ

แล้วอีกอย่างหนึ่ง แม่ชีพิมพา ท่านห้ามดิฉันมาที่กุฏิ ท่านบอกว่า ดิฉันมีวิญญาณแฝงเยอะมาก พวกวิญญาณจะมาแกล้งคนในกุฏิได้ ให้ดิฉันฝึกเองที่บ้าน อย่ามาที่กุฏิ (มีจริงๆ เหรอคะ วิญญาณแฝงที่คอยแกล้งคนน่ะ) ขออภัยอย่างสูงที่พิมพ์มายาวนะคะ ขออภัยอย่างสูงที่ถามคำถามแบบนี้ แต่เห็นว่าที่เวบนี้คือที่ที่จะให้ความกระจ่างแก่ดิฉันได้ตามความเป็นจริง

ตอนนี้คนเริ่มมาฝึกกับแม่ชีมากขึ้นๆ ไม่เห็นมีใครถามสักที ขออนุญาตท่านวิทยา-กร ช่วยอธิบายแจกแจงทีค่ะ ดิฉันจะได้ ทำความเข้าใจได้ว่า ทำไมพวกเค้าถึงรู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวจากวิญญาณแฝง ที่เค้าอ้างว่าสัมผัสพวกมันได้ และทำไมเค้าถึงอ้างว่า เผาบัญชีบาปได้ ตอนนี้ดิฉันต้องออกห่างพวกพี่ๆ เ ค้าเลยค่ะ เพราะเค้าบอกว่า อยู่ใกล้ดิฉันแล้ว มีวิญญาณมาตามแกล้งให้เจ็บตัว (มีเรื่องแบบนี้ในพระไตรปิฎกด้วยหรือเปล่า)

ขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
study
วันที่ 9 ก.ค. 2549

เรื่องที่ท่านเล่ามาทั้งหมด ไม่มีมาในพระไตปิฎกและอรรถกถา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมหาปเทศ ไว้ในมหาปเทสสูตร และมหาปรินิพพานสูตรว่า เมื่อได้ฟังเรื่องใดๆ มา ไม่ควรเชื่อหรือปฏิเสธเขา แต่ควรสอบในพระไตรปิฎกว่า มีหรือไม่ ถ้าไม่มีในพระไตรปิฎก ก็ไม่ควรถือเอาเลย แม้คำว่าวิญญาณในพระไตรปิฎก พระพุทธองค์แสดงว่า วิญญาณคือสภาพรู้อาการรู้ลักษณะที่รู้ คือจิตทุกขณะนั่นเอง ไม่ใช่วิญญาณที่ล่องลอย

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
somjad
วันที่ 9 ก.ค. 2549

ถ้าเห็นวิญญาณจริงๆ ราวกับตาเห็นขณะลืมตา ผมว่าปรึกษาจิตแพทย์จะดีกว่า ผมเคยเป็นมาก่อน ควรปฏิเสธเรื่องนี่เสีย แล้วไปหาหมอ อาการจะดีขึ้น อย่าลืมนะครับว่าเรามีกรรมเป็นของๆ ตน

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wirat.k
วันที่ 9 ก.ค. 2549

ตายแล้ว มีวิญญาณออกจากร่างไปหรือเปล่า

เข้าใจว่าเมื่อเวลาเสียชีวิตไปแล้ว จะมีวิญญาณออกจากร่างเราไปจริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า

ถามโดย : คุณประมาท อ่าน : 131 วันที่ : 31-03-2549

ความคิดเห็น โดย : มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา วันที่ : 01-04-2549

พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตคือวิญญาณ วิญญาณคือจิต มีชื่อต่างกันเท่านั้น ขณะนี้มีวิญญาณคือจิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทุกขณะ เมื่อเกิดขึ้นแล้วดับไป เมื่อสัตว์ทั้งหลายเสียชีวิตคือจุติจิตเกิดขึ้นดับไปปฏิสนธิวิญญาณเกิดต่อทันที ไม่มีการเดินทาง

ความคิดเห็น โดยสมาชิก : werayut.s วันที่ : 01-04-2549

สวัสดีครับคุณประมาท,

การที่เราจะพูดว่า เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว จะมีวิญญาณออกจากร่างเราไป จะว่าพูดผิดก็ได้ หรือจะว่าจริงอย่างที่พูด ก็คงจะได้อีกแหละครับแต่จะต้องประกอบกับความเข้าใจอีกเล็กน้อย คงต้องทำความเข้าใจก่อนว่าวิญญาณคืออะไร ร่างคืออะไร การเสียชีวิตเป็นอย่างไร แล้วก็การออกไปนี่ออกไปไหน

ถ้าพูดว่าวิญญาณออกจากร่างนี่ หลายๆ คงหนีไม่พ้นจินตนาการไปว่ามีอะไรรางๆ เป็นเงาๆ ค่อยๆ ลอย ออกจากร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่ ใช่ไหมครับ แล้วเงารางๆ นั้น ก็อาจจะหันกลับมามองร่างนั้น แล้วก็อาจจะทำท่างงๆ เหมือนไม่เชื่อว่า เอ...เราตายแล้วหรือนี่.....ครับ เป็นความเชื่อหรือจินตนาการที่ผังแน่นในคนทั่วไป แม้ในพุทธกาลก็มีคนพยายามเอาคนที่ใกล้ตาย มาเฝ้าดูเพื่อจะจับเอาดวงวิญญาณ จนกระทั่งพระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมให้เข้าใจ

ถ้าเคยเชื่อและมีจินตนาการอย่างนั้นก็ขอบอกว่า ไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ บางทีเราจำมาจากในนิยายหรือหนังจำพวกจิตวิญญาณ เช่น แม่นาคพระโขนง หรือ แดร็กคูล่า พอนานๆ ไป ไม่ได้มีการศึกษาให้เข้าใจก็เลยเหมาเอาว่าเป็นจริง แล้วก็เอาไปหลอกเด็กๆ ต่ออีกว่า วิญญาณนี่แหละ คือ ผีละ เห็นไหมครับ เรื่องไม่มีเหตุผลนี่ คนเราเชื่อกันง่ายๆ อย่างนี้แหละครับ

เวลาคนเรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้น่ะครับ ภาษาอภิธรรมท่านเรียกว่า ภูมิที่มีขันธ์5 ชีวิตก็ประกอบด้วยธาตุ 2 ชนิด ชนิดแรกท่านเรียกว่า รูปธาตุ พูดให้ง่ายๆ ก็คือ ร่างกายเรานี่แหละครับ ส่วนใหญ่ก็ประกอบด้วยธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส อาหารและอีกส่วนหนึ่งท่านเรียกว่า นามธาตุ หรือจะเรียกว่า วิญญาณก็ได้ หรือเรียกว่าจิตก็ได้ หรือบางที่เรียกธาตุรู้ ประกอบไปด้วยจิต เจตสิกต่างๆ เกิดเป็นการเห็น ได้ยิน นึกคิด โลภ โกรธ หลง กุศล อกุศล เป็นต้น

ตอนมีชีวิตอยู่นั้น รูปธาตุกับนามธาตุ นี่จะต้องอยู่ด้วยกัน ทำงานร่วมกัน รูปต่างๆ ถ้าแยกย่อยละเอียดลงไป จะมีการเกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว รูปเกิดได้จากสมุฎฐานหรือที่มา 4 อย่าง คือ เกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ และเกิดจากอาหาร ส่วนจิตนั้นก็เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับรูป แต่จะมีการเกิดดับรวดเร็วกว่ามาก ปัญญาระดับพวกเรานี่ ยังไม่สามารถประจักษ์การเกิดดับได้หรอกครับต้องโน่น อย่างน้อย วิปัสนาญาณขั้นที่ 3 ครับ

ขณะที่เรามีชีวิตอยู่นี่ รูปธาตุกับนามธาตุก็จะเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ทำงานรวดเร็ว วิจิตร สลับซับซ้อนมาก จิตเห็นเกิดสลับกับจิตนึกคิด เกิดสลับกับการกระทบทางกายสลับกับจิตได้ยิน มีจิตที่ทำให้เกิดวาโยธาตุ ให้ร่างกายเคลื่อนไหว มีภวังค-จิต ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ทั้งในยามหลับและตื่นต่างๆ นาๆ ทำงานตลอดเวลาไม่มีการหยุด

มาถึงตอนเสียชีวิต ที่ท่านอาจารย์สุจินต์เคยกล่าวว่า ภาษาไทยใช้คำพูดที่เหมาะสมมาก คือ ถึงแก่กรรม คือเมื่อกรรมหนึ่งมาถึงจะมีจิตดวงหนึ่งเรียกว่าจุติจิต ทำการเคลื่อนจากชาตินี้ เป็นปัจจัยให้ปฎิสนธิจิตไปเกิดเป็นบุคคลใหม่ในชาติต่อไปร่างกายที่เหลืออยู่จะขาดจิตที่เป็นสุฎฐานของรูปบางอย่าง ไม่มีการดำรงภพชาติต่อไป อุตุชรูปที่เหลืออยู่ก็ทำให้รูปร่างกายเปื่อยเน่าทำลายไป

คือทุกอย่างมีการเกิดขึ้นและดับไปตลอดเวลา ไม่มีอะไรออกไปไหน ไม่มีอะไรเที่ยง ไม่มีใครไปจัดการอะไรได้และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีเรา

มาถึงตอนนี้ คุณประมาท คงจะตอบเองได้แล้วนะครับว่าการเสียชีวิตคืออะไร มีวิญญาณออกจากร่างหรือไม่

หวังว่าคงมีคำถามดีๆ อย่างนี้มาร่วมสนทนากันอีกนะครับ ขอบคุณครับ

ความคิดเห็น โดยสมาชิก : ภพฺพาคมโน วันที่ : 05-04-2549

ตายแล้ววิญญาณไม่ได้ออกจากร่างล่องลอยไปไหนนะคะ เป็นความเข้าใจที่ผิด ตามหลักพระพุทธศาสนา ตายแล้วเกิดใหม่ทันที คือ เมื่อจุติจิตดับปุ๊บ ปฏิสนธิจิตก็เกิดใหม่ติดต่อกันทันที ยกตัวอย่างเช่น นาย P ทำกรรมชั่วไว้มาก เมื่อจุติจิตของนายP ดับ (นาย P ตาย) ปฏิสนธิจิตของนาย P ก็เกิดติดต่อกันทันที ทำให้นาย P เกิดใหม่เป็นเปรต ด้วยกรรมชั่วของตนที่เคยทำมา

ตามความเชื่อของคนไทย ที่เชื่อกันอย่างผิดๆ ว่า "ผี" เป็นวิญญาณเร่ร่อนที่หาที่เกิดไม่ได้ แต่นักอภิธรรมจัดผีเป็นเปรต, อสุรกายหรือเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเปรต,อสุรกายหรือเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา ไม่ได้เป็นวิญญาณเร่ร่อน แต่ได้เกิดใหม่ในภพภูมิใหม่แล้ว คือ เคลื่อนจากความเป็นมนุษย์ ไปเกิดใหม่ใน เปตภูมิ, อสุรกายภูมิและเทวภูมิทันที

ดังนั้น ไม่มีวิญญาณเร่ร่อน มีแต่สัตว์ที่ตายแล้วเกิดใหม่ทันที ในภพภูมิที่เหมาะสมกับกรรมของตน

ความคิดเห็น โดย : มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา วันที่ :19-04-2549

ตามหลักพระอภิธรรมจิตเกิดดับทุกขณะ เมื่อจิตขณะสุดท้ายของโลกนี้เกิดขึ้น เรียกว่าจุติจิต ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ และขณะจิตต่อไปเป็นปฏิสนธิจิตทำกิจสืบต่อ คือเกิดเป็นคนใหม่ในภพใหม่ทันที สำหรับภพใหม่ของผู้จากไปมีหลายภูมิ บางภูมิมีแต่ความทุกข์ทรมาน มีภูมินรก เป็นต้น แต่สัตว์บางภูมิอยู่ใกล้มนุษย์ และกำเนิดในโอปปาติกะ เช่น เปรต อสุรกาย เทพ เป็นต้น ก็อาจจะมาหาในรูปแบบต่างๆ ก็เป็นไปได้ ดังเรื่องในพระสูตรก็มี แต่ส่วนมากน่าจะคิดเอาเองว่าเขามา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Nirvana
วันที่ 14 ก.ค. 2549

สิ่งที่คุณได้ยินมาถือได้ว่า "ออกนอกทาง" แล้วครับ เห็นคนในสายนี้มาโพสต์อะไรคล้ายๆ ของคุณ ไม่ทราบฝึกจิตกันท่าไหนจึงได้ของแบบนี้มา "เลิกเถอะครับ" อย่าไปใส่ใจ เอาเข้ามาป่วนจิตเปล่าๆ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ