ฟังพุทธประวัติมากขึ้น ซาบซึ้งในพระพุทธคุณมากขึ้น


    ส.    เวลาที่ฟังธรรม แล้วก็ลักษณะของความสงบของจิตยังไม่ป่รากฏ ก็ต้องฟังธรรมประการอื่นๆ นัยอื่นๆ เพื่อที่จะให้ได้ทราบว่าขณะนั้น เมื่อได้ฟังมากขึ้นแล้ว จะสงบมากขึ้นไหม เพราะฉะนั้น การที่จะระลึกถึงพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าระลึกเอง อาจจะระลึกไม่ออก ลองดูสิคะเ ดี๋ยวนี้ จะระลึกอย่างไร แต่ถ้าได้ฟังประวัติของพระผู้มีพระภาค มากขึ้น จะเห็นพระกรุณาคุณของพระองค์ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อที่จะได้รู้แจ้ง อริยสัจธรรม ที่จะอนุเคราะห์ เกื้อกูล สัตว์โลก ทั้งหลายให้รู้แจ้งอิรยสัจธรรม เช่นพระองค์ด้วย  ถ้าได้ฟัง อดีตประวัติของพระองค์ ความทราบซึ้งในพระคุณของพระองค์ย่อมมีเพิ่มขึ้น แล้วในขณะนั้น ก็จะปรากฏลักษณะ ที่สงบขึ้น  เพราะฉะนั้น ในวันนี้ขอกล่าวถึงในอดีตชาติเมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาค เป็น สุเมธดาบส ซึ่งเป็นพระชาติที่ได้รับการพยากรณ์ว่า พระองค์จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็ต้องย้อนถอยไป ๔ อสงไขยแสนกัปป ซาบซึ้งไหมคะ บุคคล ๑ ได้ตั้ง ความปรารถนา ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  แท้ที่จริงแล้ว เคยทรงปรารถนาก่อนนั้น แต่ว่าความปรารถนานั้นยังไม่มั่นคง จึงยังไม่ได้รับการพยากรณ์ จากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ ๑ พระองค์ใด ในบางกาละที่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งกำลังทรงแสดงธรรม พระองค์ก็เคยปรารถนา ที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าความปรารถนาที่เริ่มเกิดนั้น เพราะยังไม่มีกำลัง ต้องเจริญกุศล แล้วก็ได้เฝ้า ได้ฟังธรรมอีก ได้เห็นประโยชน์อีก จนกระทั่งมีความปรารถนาที่มั่นคง แล้วก็เมื่อได้สะสมบุญบารมี มาพอ ที่จะได้รับการพยากรณ์ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ ๑ ก็จะทรงพยากรณ์ว่า บุคคลนั้น จะมีบารมีพร้อมที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลข้างหน้า  แต่ว่า ๔ อสงไขยแสนกัปป สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะบรรลุพระอนุตรสัมโพธิญาณ ด้วยพระปัญญา เพราะเหตุว่าบางพระองค์ ก็ทรงบรรลุด้วยวิริยะ บางพระองค์ก็ทรงบรรลุด้วยศรัทธา ซึ่งก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่มากกว่า การที่จะอบรมด้วยปัญญาสำหรับการที่จะบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นด้วยพระปัญญานั้น ก็ต้องอาศัยพระบารมีที่ต้องอบรมถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป เริ่มซาบซึ้ง เริ่มสงบไหมคะ เมื่อย้อนถอยไปถึง ๔ อสงไขย กับอีกแสนกัปป แห่ง ภัทรกัปนี้ ข้อความในนิทานกถา อรรถกถาธัมมสังคณี ชื่อ อรรถสาลินี มีว่า ได้มีนครชื่อว่า อมรวดี พราหมณ์นามว่า สุเมธ ซึ่งเกิดบริสุทธิดี ทั้ง ๒ ฝ่าย คือฝ่ายมารดา ๑ ฝ่ายบิดา ๑ ประสูติจากครรภ์อันบริสุทธิ ใครๆ กล่าวคัดค้านไม่ได้ ไม่มีใครรังเกียจด้วยชาติตระกูล กระทั่งถึงเครือตระกูลที่ ๗ มีรูปงาม น่าทัศนา น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีรูปสมส่วนอย่างยิ่ง พราหมณ์นั้นไม่ทำการงานอย่างอื่น ได้แต่เรียนศิลป สำหรับพราหมณ์อย่างเดียว ในกาลที่พราหมณ์นั้นยังเด็กอยู่นั่นแล มารดา บิดาก็ทำกาลกิริยา ทีนั้น อำมาตย์ ชื่อว่า ราสิวัดถกะ นำบัญชีส่วยมาให้พราหมณ์นั้น แล้วเปิดคลัง ที่เต็มด้วย ทอง เงิน แก้วมณี และมุกดาเป็นต้นแล้ว บอกทรัพย์ กระทั้งถึง ๗ ชั่วตระกูลว่า ดูกรกุมาร ทรัพย์ของมารดา และบิดาของเธอเท่านี้ ของตาและยายเท่านี้ แล้วพูดว่าเธอจงคุ้มครองทรัพย์นี้ สุเมธผู้เป็นบัณฑิตย์ คิดว่า บิดาและปู่เป็นต้นของเรา  อุตสาห์รวบรวมทรัพย์นี้ไว้แล้ว เมื่อจะไปยังปรโลก ก็ไม่ได้ถือเอา แม้กหาปณะ ๑ ไป แต่ว่าเราชอบที่จะทำเหตุแห่งการที่จะถือเอาไปได้ ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลแก่พระราชา ให้ตีกลอง ป่าวประกาศในนคร ให้ทานแก่มหาชน แล้วบวชเป็นดาบส ทรัพย์ที่ทุกท่านมีอยู่ จะถือเอาไปโลกอื่นได้ไหมคะ ถ้าไม่รู้วิธี ก็เอาไปไม่ได้เลย แต่ว่าถ้ารู้วิธีก็สามารถเอาไปด้วยได้  คือ ด้วยการบำเพ็ญบุญกุศล ท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาค ทรงมีศรัทธาที่จะเจริญพระบารมี ด้วยความที่ไม่มีความปรารถนาติดข้องในทรัพย์ซึ่งบรรพบุรุษได้ แสวงหามา แต่กลับเห็นว่าบรรพบุรุษของพระองค์นั้น อุตสาห์รวบรวมทรัพย์นี้ไว้ แต่เมื่อไปยังปรโลกก็ไม่ได้ถือเอาไป แม้กหาปณะ ๑


    หมายเลข 4967
    19 ส.ค. 2558