พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 8


    ตอนที่

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กลิ่นเป็นรูป เพราะไม่ใช่สภาพรู้ กลิ่นในอดีต กลิ่นปัจจุบัน กลิ่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็เป็นลักษณะของกลิ่น ซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นรูปทุกประเภท ทั้งในอดีต ทั้งขณะนี้ และข้างหน้า เป็นรูปขันธ์ “ขันธ์” คือกอง หรือประเภทของธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น ถ้าได้ยินคำว่าขันธ์ หมายความว่าส่วน หรือกอง หรือประเภท ของสภาพธรรมนั้นๆ ถ้าเป็นรูปขันธ์ จะเปลี่ยนเป็นนามขันธ์ หรืออย่างอื่นไม่ได้ ต้องเป็นรูปขันธ์ ชอบรูปขันธ์ หรือไม่

    อ.วิชัย ถ้าสีสวยๆ ก็ชอบ

    ท่านอาจารย์ ชอบทุกรูป ทุกชนิด หรือไม่

    อ.วิชัย ไม่ทุกชนิด

    ท่านอาจารย์ แต่รูปทางตาก็ชอบ รูปทางหูก็ชอบ ทางจมูกก็ชอบ ทางลิ้น ทางกาย ชอบหมด คุณธีรพันธ์ มีรูปอะไรที่ไม่ชอบบ้าง

    อ.ธีรพันธ์ ไม่ชอบกลิ่นเหม็น

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ธรรมต้องเป็นธรรม ความจริงต้องเป็นความจริง แม้แต่รูปธรรมก็ต่างกันเป็น ๒ ประเภท ประเภทที่ ๑ คือ รูปที่น่าพอใจ ประเภทที่ ๒ คือ รูปที่ไม่น่าพอใจ เพราะฉะนั้นศึกษาธรรม เพื่อเข้าใจความจริง เช่น อารมณ์ หมายความถึง สิ่งที่จิตกำลังรู้ เช่น กำลังเห็นขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏที่ถูกเห็นนั้นเป็นอารมณ์ ของจิตเห็น เสียงที่กำลังปรากฏ เพราะจิตได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นจึงปรากฏ เพราะฉะนั้น เฉพาะเสียงนั้นเท่านั้นที่จิตรู้ เป็นอารมณ์ของจิต ภาษาบาลีคือ “อารัมมณะ” หรือ “อาลมฺพน” หมายถึงอารมณ์ คือ เป็นสิ่งที่จิตรู้ ไม่ใช่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น หรือว่า ไม่ใช่สิ่งที่จิตไม่รู้ แม้ว่าเป็นรูป ก็มีมากมาย เพราะว่า จิตไม่ได้เห็นหมดทุกรูป แต่ว่ารูปใดก็ตามที่จิตกำลังรู้ รูปนั้นเป็นอารมณ์ของจิต หรือเป็น“อารัมมณะ” ของจิต

    รูปทั้งหมดจำแนกเป็น “อิฏฐารมณ์” คือ รูปที่น่าพอใจ และ “อนิฏฐารมณ์” คือ รูปที่ไม่น่าพอใจ หากว่ารูป ๒ รูปนี้ ไม่มีความต่างกัน เราก็จะมีแต่ความรู้สึก หรือความเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด คือ ชอบตลอด ไม่มีไม่ชอบเลย หรือว่าไม่ชอบตลอด ไม่มีชอบเลย แต่เพราะเหตุว่า แม้รูปก็มีความวิจิตรต่างๆ เกิดจากสมุฏฐานต่างๆ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นรูปลักษณะหนึ่ง ต่างกับรูปที่ปรากฏทางกาย เช่น แหวนเพชร หรือเพชรนิลจินดาต่างๆ ชอบดูไหม สีสวย ใช่ไหม มีเพชรนิลจินดาหลากหลายชนิด หลายสี แต่เวลากระทบสัมผัสเหมือนกันไหม คือแข็ง เพราะฉะนั้น ต้องแยกความต่าง ระหว่างสิ่งที่น่าพอใจทางตา กับสิ่งที่น่าพอใจทางกาย คนละขณะ คนละโลก ไม่ใช่พร้อมกันในขณะเดียวกัน เพราะฉะนั้น รูปทั้งหมดทุกรูป ก็สามารถที่จะเป็นอย่างหนึ่งอย่างใด รูปที่น่าพอใจเป็นลักษณะหนึ่ง และรูปที่ไม่น่าพอใจเป็นลักษณะหนึ่ง แต่รูปทั้งหมดเป็นรูปขันธ์ ไม่ว่าจะน่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ

    ผู้ฟัง อารมณ์กับรูปเป็นตัวเดียวกัน หรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ จิตกำลังรู้ ใช้คำว่าอารมณ์ก่อน และอีกอย่างก็คือ จิตเป็นสภาพที่สามารถรู้ได้ทุกอย่าง สิ่งใดที่มีจริง เช่นจิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตรู้ได้ แม้เรื่องราวต่างๆ ก็ยังคิดนึกได้ ถ้าเราเข้าใจธรรมว่าคืออะไร แล้วก็ธรรมเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง คือ จะไม่เปลี่ยน ถ้ากล่าวคำว่า “อารัมมณะ” หรือ “อารมณ์” หมายความว่า เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ หรือว่าเป็น สิ่งที่จิตกำลังรู้ เช่น เสียงที่ปรากฏ เพราะจิตกำลังได้ยินเสียงนั้น เสียงนั้นจึงปรากฏ เพราะฉะนั้น เสียงในขณะนั้นเป็นอารมณ์ของจิต ขณะใดที่กำลังคิดนึก ให้ทราบว่า ถ้าไม่มีมีจิต เรื่องนั้นไม่มี ไม่มีสภาพที่กำลังรู้เรื่องเป็นคำๆ ที่คิดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งที่จะจำได้คือ จิตเป็นสภาพธรรมที่สามารถรู้ได้ทุกอย่าง ทั้งปรมัตถธรรม และบัญญัติ จึงควรทราบว่า ความติดข้องของเรา มากมายมหาศาล เพียงแค่ยกเรื่องรูป ยังไม่กล่าวถึงเจตสิกใด หรือสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ความติดของเราในชีวิตประจำวัน ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ มากมาย จนกระทั่งรู้ว่าสละได้ยาก เพราะฉะนั้น รูปทุกรูปที่เป็นที่ติดข้องจึงเป็น “รูปูปาทานขันธ์” มาจากคำที่รวมกัน คือ รูป อุปาทาน และ ขันธ์

    ผู้ฟัง คำว่ารูปสละได้ยาก แต่หากพิจารณา รูปภายนอกที่ปรากฏ มีอยู่ ๗ รูป ดูเหมือนว่าง่าย แต่รูปที่หมายถึงร่างกาย ไม่ค่อยจะสละ และจะยึดไว้ว่า ... เรา

    ท่านอาจารย์ เป็นความละเอียดขึ้น แล้วลึกมากด้วย แล้วแต่ประเภท ยึดถืออะไรไว้บ้างระหว่างของนอกบ้าน ตามถนนหนทาง กับ ของในบ้าน ยึดอย่างใดมากกว่ากัน บ้านหลังหนึ่งก็มีรั้ว สิ่งใดที่อยู่ในเขตบริเวณ กับสิ่งที่อยู่ในห้องนอน และยังอยู่ในตู้นิรภัยในห้องนอน ความยึดถือของเราตรงไหนมาก

    ผู้ฟัง ถ้าเป็นปุถุชนก็ยึดของในบ้าน ในตัวก่อน

    ท่านอาจารย์ หากเป็นของที่เราไม่ติด เราก็ไปไว้นอกบ้านก่อนใช่ หรือไม่ ใครจะเอาไปก็ได้ เตรียมพร้อม ใส่ถุงเรียบร้อยให้เขาได้ แต่ของที่ยังอยู่ในบ้าน ติดมากไหมในรูป ผู้ที่จะละความติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้ คือ พระอนาคามีบุคคล ถ้ายังไม่ถึง ก็ต้องยอมรับตามความเป็นจริง แล้วอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะถึง ไม่ใช่ไปพยายามที่จะถึงโดยไม่มีปัญญา

    ผู้ฟัง พระอนาคามีบุคคล จึงจะละรูปได้ใช่ไหม

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ละรูป แต่ละความยินดีติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    ผู้ฟัง อย่างนี้ในชีวิตประจำวันก็มีคนที่เขาละบ้านช่อง ทิ้งไปเลย ดูเหมือนกับจะละ คงไม่ได้ละ

    ท่านอาจารย์ ตาเห็นไหม ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม เห็นไหม น้ำทะเลเป็นยังอย่างไร ภูเขาเป็นอย่างไร สัตว์ตัวเล็กๆ น่ารักอย่างไร หรือเห็นแล้วไม่รู้อะไร ไม่รู้สึกอะไรเลย ได้ยินเสียงไหม เสียงนั้นเป็นอย่างไร ได้กลิ่นไหม ลิ้มรสไหม รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสไหม ต้องตรงตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง รูปไม่รู้อารมณ์ คำว่า “ไม่รู้อารมณ์” เพราะรูปก็ไม่รู้ว่า ตัวเขาเป็นรูป แล้วเขาก็ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นเสียง ไม่หนาว ไม่ร้อน จะถูกต้องประการใด

    ท่านอาจารย์ ถ้าเราเข้าใจว่า สิ่งใดเป็นปรมัตถธรรม ก็พอจะเข้าใจว่าสิ่งใดเป็นบัญญัติ เช่น ในขณะนี้ เห็นอะไร เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา รู้จริงๆ อย่างที่พูด หรือเปล่าว่า เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา หรือ ปกติจะตอบว่าเห็นอะไร

    ผู้ฟัง ดิฉันเห็นแจกันดอกไม้

    ท่านอาจารย์ เห็นแจกันดอกไม้ เริ่มที่จะเข้าใจแล้วว่า สิ่งใดจริง สิ่งที่ปรากฏทางตาจริง แต่ความทรงจำรูปร่างสัณฐานเป็นแจกัน ความทรงจำรูปร่างสัณฐานว่าเป็นดอกไม้ เพราะฉะนั้น ขณะนั้น แจกัน และดอกไม้ ไม่ใช่ปรมัตถธรรม แต่เป็นบัญญัติ บัญญัติ หมายความถึง สภาพธรรมใดก็ตามที่จิตรู้ ซึ่งไม่ใช่ปรมัตถธรรม ถ้าเป็นปรมัตถธรรม เช่น ถามว่าแข็งไหม คนที่ขณะนั้นมีแข็งปรากฏ ก็ตอบว่าแข็ง ขณะนั้นแข็งเป็นปรมัตถธรรม แต่ปัญญาไม่ได้รู้ว่าเป็นปรมัตถธรรม แต่สามารถรู้ลักษณะที่แข็งได้ แต่เมื่อรู้ลักษณะที่แข็งแล้ว ก็ยังทรงจำด้วย ไมโครโฟน เก้าอี้ โต๊ะ พวกนี้ อะไรก็ตามที่จิตกำลังรู้ แต่ไม่ใช่ลักษณะของปรมัตถธรรมหนึ่งปรมัตถธรรมใด สิ่งที่มีที่จิตกำลังรู้ขณะนั้น เป็นบัญญัติ

    เพราะฉะนั้น เราก็จะรู้ได้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย เราอยู่ในโลกของบัญญัติ ก่อนจะนอน คิดเรื่องอะไร บัญญัติ หรือว่าคิดเรื่องปรมัตถ์ หรือรู้ลักษณะที่แข็ง หรือว่ารู้ลักษณะที่เป็นเสียง เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีปัญญาเพิ่มขึ้นจะรู้ได้ว่าจิตขณะนั้น กำลังมีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ หรือว่าขณะนั้น จิตมีบัญญัติเรื่องราวต่างๆ เป็นอารมณ์ และผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง พอตื่นขึ้นมาจิตมีอะไรเป็นอารมณ์ เสียงนาฬิกาปลุก เป็นเสียงที่เป็นปรมัตถ์ หรือว่า ขณะนั้นเป็นเรื่องเสียงนาฬิกาปลุก

    อ.วิชัย เสียงมีจริง แต่ขณะคิด ก็เป็นเรื่องนาฬิกาปลุก

    ท่านอาจารย์ เสียงมีจริง แต่ขณะนั้นปัญญารู้ว่า เสียงเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง หรือไม่เพราะจริงๆ ถ้าจะรู้อย่างนั้น ต้องประกอบด้วยธรรมอีกประเภทหนึ่งคือ สติสัมปชัญญะที่จะรู้ตรงลักษณะนั้น แล้วไม่มีอะไรเลย แต่นี่มีนาฬิกาปลุก เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นเราอาจจะไม่ได้รู้ว่าคิดแล้ว ทั้งๆ ที่เสียงเป็นปรมัตถ์ มี เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วคำว่าปรมัตถธรรม หมายความถึงสภาวธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริงแต่ละลักษณะที่ต่างๆ กันไปในขณะที่กำลังปรากฏ นี่คือ เราชินกับโลกบัญญัติ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ถ้าไม่มีปรมัตถธรรม บัญญัติก็ไม่มี ไม่มีเสียง จะมีนาฬิกา หรือเสียงนาฬิกาได้อย่างไร ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา จะเห็นเป็นคน เป็นรถยนต์ เป็นถนนหนทางได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรมมีจริง แต่เพราะไม่รู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม จึงทรงจำ หรือว่าจำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทั้งหมดเป็นเรื่องราวตลอดตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่ได้ฟังธรรม อยู่ในโลกของสมมุติบัญญัติตั้งแต่เกิดจนตาย โดยไม่รู้ว่าที่แท้จริงแล้ว สิ่งใดเป็นปรมัตถธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในความคิดของเขา ก็คือ มีญาติพี่น้องจริง มีโรงเรียน มีถนนหนทาง มีทุกอย่างจริง แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วถ้าไม่มีปรมัตถธรรม สิ่งใดๆ ก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้น ที่จะรู้ว่าปรมัตถธรรม กับบัญญัติ ต่างกันอย่างไร บัญญัติสามารถที่จะเป็นอารมณ์ คือ กำลังปรากฏทางตากับจิตที่เห็น แต่ไม่ใช่กับสติ และสัมปชัญญะ ปัญญาที่สามารถเข้าใจถูก จนกว่าผู้นั้นจะอบรม จนกระทั่งถึงกาลที่พอฟังเข้าใจ และรู้ได้เลย และการอบรมนั้นเป็นไปในการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ในเวลาไม่นานเลยเพียงข้อความสองสามประโยค สภาพธรรมก็เป็นจริงที่จะให้ผู้นั้นสามารถที่จะรู้ได้ แต่สำหรับการศึกษาปรมัตถธรรม ให้ทราบว่ามีปรมัตถธรรม และมีบัญญัติ และขณะใดที่ไม่ใช่ปัญญาที่รู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม ว่าเป็นปรมัตถธรรม ขณะนั้นก็จะมีการรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรมโดยความเป็นเรื่องราว หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เหมือนว่าเที่ยงตลอดเวลา

    ขอถามคุณจำนงว่า คุณวาณียังไม่ดับใช่ไหม เพราะยังเป็นคุณวาณี และขณะนี้ รูปเกิดดับ หรือไม่ แต่ก็ยังไม่รู้ เพราะเหตุว่า เป็นเพียงปรากฏกับจิตเห็น ก็จิตที่เริ่มฟัง และเข้าใจ จนกว่าปัญญาจะอบรมเจริญขึ้น ถึงสามารถจะคลายความที่เห็นเป็นคุณวาณีอย่างยั่งยืนไม่เคยดับ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาแน่นอน ไม่ว่าเป็นใครในความคิดนึก ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่าคุณวาณีเกิดดับ หรือเปล่า ดับทั้งตัว ดูแล้วน่ากลัว

    อ.ธีรพันธ์ คุณจำนงกล่าวเป็นเรื่องราว ความจริงแล้วสภาพธรรมต้องเป็นสภาพธรรม แต่ละประเภท ที่จะปรากฏทางตาก็เป็นรูปารมณ์ ทางหูก็เป็นเสียง จมูกก็เป็นกลิ่น ลิ้นก็เป็นรส กายก็โผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้นจะนำคุณวาณีมารวมกันไม่ได้ ความจริงคุณวาณีเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา โดยปริยัติที่เราศึกษากัน อย่างเช่น เคยมีคำถามจากท่านอาจารย์ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา ร้องเพลงได้ไหม เป็นคำถามที่ชวนให้คิด

    ท่านอาจารย์ ก่อนที่จะเป็นคุณวาณี มีหลายท่านไม่รู้จักชื่อนี้ เราก็มาพบกันที่นี่บ่อยๆ และก็มีคนที่นั่งแถวหน้าแถวหลัง ชื่ออะไรบ้างก็ไม่ทราบ แต่จำไว้แล้ว ใช่ไหม คนนี้เคยเห็น คนนี้มาใหม่ ยังไม่เคยเห็นเลย แสดงให้เห็นว่าแม้เพียงสิ่งที่ปรากฏ ความคิดนึกกับความทรงจำของเราหลายหลากอย่างไรบ้าง ที่จะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเหมือนกันทุกวัน ลืมตาขณะใดก็มีสิ่งที่ปรากฏอย่างนี้ แต่ความทรงจำปรุงแต่ง จากการที่ยังไม่รู้จักชื่อ แต่จำได้ เพราะว่าเคยเห็น พอเห็นแล้วก็จำ พอเห็นอีกทีก็จำได้ แล้วแต่ว่าจะแม่นยำขนาดไหน ต้องเห็นกี่ครั้ง แล้วภายหลังจึงรู้จักว่าชื่อคุณวาณี เพิ่มบัญญัติ คือ ชื่อ แต่ว่าถึงแม้ไม่มีชื่อเลย ก็มีบัญญัติ มีสิ่งที่จดจำไว้จากสิ่งที่ปรากฏ และตอนหลังก็มีบัญญัติเรื่องราวต่างๆ และถ้าคุณวาณีไปทำคุณงามความดีมียศฐาบรรดาศักดิ์ ก็เพิ่มชื่อขึ้นมาอีก

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า เราอยู่ในโลกของสมมุติบัญญัติมานานมาก และการที่จะค่อยๆ มีความเห็นถูก กำลังฟังอย่างนี้ก็เกิดความเข้าใจว่า จริงๆ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ นี่คือ การเริ่มของปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏ เพราะไม่ใช่หมายความว่าเราจะเข้าใจแล้วทุกอย่างจะหายไปหมด ไม่ใช่อย่างนั้น สภาพธรรมอื่นเกิดต่อทันที แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเห็น และก็ทรงรู้ว่าบุคคลที่กำลังปรากฏในขณะนั้นชื่ออะไร เป็นท่านพระสารีบุตร หรือพระมหาโมคคัลลานะ เพราะการเกิดดับสืบต่อของจิตที่ทรงจำเร็วมาก แต่ไม่มีความเห็นผิด ในลักษณะของสภาพธรรม เพราะทรงประจักษ์แจ้งว่าสภาพธรรมทั้งหลายมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ และเรื่องของบัญญัติ ซับซ้อนมากมาย ต้องทราบว่ายังมีอยู่เต็มเลย ทันทีที่กำลังฟังอย่างนี้ก็ยังมีการจำ มีการรู้บัญญัติทั้งนั้นเลย จนกว่าความรู้ปรมัตถ์ค่อยๆ เพิ่มขึ้น

    ผู้ฟัง ถ้าไม่ได้ฟังธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็คงจะแยกบัญญัติกับปรมัตถ์ออกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงพระมหากรุณาแสดง เพราะเหตุที่รู้ว่า เป็นสิ่งที่ผู้ได้ยิน ได้ฟัง สามารถไตร่ตรองพิจารณาอบรมปัญญาที่จะรู้จริงประจักษ์แจ้งอริยสัจจธรรมได้ บางท่านเข้าใจว่า เวลาที่ปัญญาเกิด แล้วจะไม่มีเรื่องราวความคิดนึกเกิดเลย ซึ่งสภาพธรรมเป็นจริงอย่างไรก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น แต่ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกในขณะนั้นได้

    ผู้ฟัง ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นี้ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พระไตรปิฎกทั้งหมด สรุปที่ อนัตตา คือ ความไม่มีตัวตน

    ท่านอาจารย์ ธรรมเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ ขณะที่ทุกคนกำลังฟัง เป็นคุณจำนงกำลังพูด ทั้งๆ ที่ฟังเรื่องปรมัตถธรรม และก็เริ่มที่จะมีความเข้าใจว่าปรมัตถธรรม คือ ธรรมที่มีจริงแม้ไม่เรียกชื่อเลย ก็มีลักษณะปรากฏ เวลาฟัง ก็เป็นฟังคุณจำนงกำลังพูด จะเห็นได้ว่า กว่าเราจะเข้าใจจริงๆ และอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะสามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ก็ต้องเป็นจิรกาลภาวนา เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องทำอะไรที่จะเป็นไปด้วยความไม่รู้ เพราะว่าถ้าเป็นไปด้วยความไม่รู้ก็จะไม่รู้ตลอดไป

    ผู้ฟัง ฟังดูแล้วเหมือนกับว่า ธรรม หรือ ธรรมชาติ มีความไม่รู้มากมายกว่าปัญญาใช่ไหม

    อ.อรรณพ เป็นความจริงใช่ไหมว่า ความไม่รู้มากกว่า ขณะนี้มีความยินดีพอใจในรูปไหม

    ผู้ฟัง มี

    อ.อรรณพ สีสวย อยากไปเที่ยว ไปดูวิวทิวทัศน์สวยๆ เห็นสิ่งที่น่าพอใจไหม สายตาก็จะสอดส่ายไปแล้ว ก็ถูกกลืนกิน เพราะว่าขณะนั้นเป็นโลภะที่ติดข้องใน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ในอดีตก็เคยมีอย่างนี้ ติดมาแล้ว สะสมความติดมาด้วย ในปัจจุบันนี้ก็กำลังติดอยู่ แล้วก็ยังไม่ได้ดับเหตุปัจจัย ในอนาคตก็ยังคงมีรูปเกิด และก็เป็นที่ยึดถือ เพราะว่าไม่รู้จักรูปตามความเป็นจริง กลืนกิน ก็คือ เป็นที่ตั้งของความยึดถือตลอดเรื่อยมา ขอความกรุณาท่านอาจารย์ขยายประเด็นนี้

    ท่านอาจารย์ เมื่อกล่าวความจริงเรื่องของขันธ์ ๕ เป็นเรื่องที่ค่อยเป็นไปตามลำดับ แต่เมื่อกล่าวแล้วถึงชื่อ ๕ ชื่อ คือขันธ์ ๕ คือสภาพธรรมที่เป็น นามธรรม กับ รูปธรรม และปรมัตถธรรม ก็มีจิต เจตสิก รูป เปลี่ยนสภาพรูปทุกรูปเป็นนามธรรมไม่ได้เลย รูปหยาบ รูปละเอียด รูปทราม รูปปราณีต รูปใกล้ รูปไกล รูปชาติก่อน ชาติหน้า ชาติไหนก็ตาม รูปต้องเป็นรูป เพราะฉะนั้น ธรรมส่วนนี้ กองนี้ จะเป็นนามธรรมไม่ได้เลย ให้เข้าใจธรรมที่มี และเราไม่เคยรู้เลย ถูกบัญญัติหุ้มห่อปิดบังไว้แนบสนิท ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นในขันธ์ ๕ ขันธ์ แล้วก็เป็นรูป ๑ ขันธ์ เพราะฉะนั้น อีก ๔ ขันธ์เป็น เป็นนาม ต้องตรงๆ อยู่แล้วใช่ไหม ธรรมผิดไม่ได้ จริงก็คือจริง รูปจะเกิดเมื่อไหร่ก็เป็นรูป ก็ต้องเป็นรูปขันธ์ เพราะฉะนั้นอีก ๔ ขันธ์ ต้องเป็นนาม

    ปรมัตถธรรมมีจิต เจตสิก รูป นิพพาน นิพพานไม่เกิด นิพพานไม่ดับ นิพพานไม่ใช่จิต นิพพานไม่ใช่เจตสิก นิพพานไม่ใช่รูป นิพพานเป็นขันธ์ หรือไม่ ก็จะมีการเผลอ และก็มีการคิด และก็มีการรู้ว่า ที่เราตอบนี้ ถูก หรือเปล่า ถ้าผิดก็จะรู้ได้เลยว่า ไม่ถูก เพราะว่าที่เป็นขันธ์ เพราะเกิดขึ้นปรากฏ จึงสามารถที่จะเป็นอดีต เกิดแล้วดับไป เป็นอนาคต ยังไม่มาถึง แต่จะเกิด มีปัจจัยก็เกิด รูปเกิดได้เมื่อมีปัจจัย และก็เป็นปัจจุบัน คือขณะที่เกิดแล้วยังไม่ดับ ปรากฏขณะนี้ เพราะฉะนั้น ขันธ์ทุกขันธ์ก็จะเป็นอดีต หรือปัจจุบัน อนาคต เพราะเหตุว่ามีการเกิดดับ เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ไม่เกิดดับ เป็นอดีตได้ไหม จะเป็นปัจจุบันได้ไหม เป็นอนาคตได้ไหม ในเมื่อสิ่งนั้นไม่ได้เกิดดับ ก็ต้องไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในบรรดาปรมัตถธรรมทั้ง ๔ ปรมัตถธรรมที่ไม่ใช่ขันธ์ คือ นิพพานเท่านั้น รูปเกิดเมื่อไหร่เมื่อนั้น ต้องเป็นรูปขันธ์ นามขันธ์ ๔ ได้แก่ จิต เจตสิก นี้คือความเข้าใจ ขันธ์ก็คือปรมัตถธรรมนั่นเอง และปรมัตถธรรมที่จำแนกเป็นขันธ์ได้ต้องมี ๓ คือ จิต เจตสิก รูป ส่วนนิพพานไม่ใช่ขันธ์ เป็น ขันธวิมุตติ คือพ้นจากการที่เป็นขันธ์

    อ.อรรณพ ธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ๓ เป็นขันธ์ ๕ ก็คือ รูปทั้งหมดเป็นรูปขันธ์ เวทนาเจตสิกเป็นเวทนาขันธ์ สัญญาเจตสิกเป็นสัญญาขันธ์ และเจตสิกที่เหลือทั้งหมดเป็นสังขารขันธ์ ส่วนจิตนั้นเป็นวิญญาณขันธ์

    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมต้องทราบว่า เมื่อฟังแล้ว เราจะมีความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ประการนี้สำคัญที่สุด คือ ไม่ว่าจะได้ยินคำอะไร จะศึกษาต่อไปอย่างไรก็ตาม ให้ทราบว่าเราจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น จากการที่ไม่เคยได้ฟัง ไม่เคยได้เข้าใจเลย ว่าเป็นธรรม จนกระทั่งเริ่มรู้ว่าเป็นธรรม และธรรมซึ่งมีจริงๆ ซึ่งใครไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้ เป็นปรมัตถธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 135
    6 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ