พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 32


    ตอนที่ ๓๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ ที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ เมื่อภวังคจลนะดับก็เป็นปัจจัยให้ภวังค์อีกหนึ่งขณะเกิดสืบต่อเป็นภวังคุปัจเฉทะคือสิ้นสุดกระแสภวังค์ จะเป็นภวังค์อีกต่อไปไม่ได้ เมื่อภวังคุปัจเฉทะดับไปแล้ว ต่อจากนั้นก็จะเป็นมโนทวาราวัชชนจิต นึกถึง รำพึงถึงอารมณ์อะไร กุศลจิต หรือ อกุศลจิตก็มีอารมณ์นั้นที่มโนทวาราวัชชนจิตรู้เป็นอารมณ์สำหรับทางมโนทวาร


    ผู้ฟัง แสดงว่าขณะแรก หลังจากที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว วิถีจิตที่เกิดก็ต้องเกิดทางมโนทวาร

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้เกิดวิถีจิต ต้องเป็นภวังค์ต่อเนื่องไปก่อน จนกว่าจะเป็นวิถีจิตเมื่อใด มโนทวาราวัชชนจิตก็เป็นวิถีจิตแรก แต่ก่อนมโนทวาราวัชชนจิตต้องมีภวังคุปัจเฉทะ เพราะฉนั้น ภวังคุปัจเฉทะเป็นมโนทวารของมโนทวารวิถีจิต ภวังคุปัจเฉทะต้องเกิดต่อจากภวังคจลนะ แต่ภวังคจลนะไม่ใช่ทวารของมโนทวารวิถีจิต เพราะว่าหลังจากที่ภวังคจลนะดับ ภวังคุปัจเฉทะเกิด เพราะฉะนั้นภวังคุปัจเฉทะนั้นก็เป็นทวารของมโนทวาราวัชชนจิต และวิถีจิตทางมโนทวาร

    ผู้ฟัง หลังจากที่จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะแรกที่ปฏิสนธิจิตเกิด

    ท่านอาจารย์ ทางมโนทวารไม่ต้องไป ๑๗ ขณะ แต่ถ้าจะนับว่ารูปที่เกิดพร้อมปฏิสนธิจิตดับเมื่อไหร่ก็นับไปเลย ครบ ๑๗ ขณะเมื่อใดก็ดับเมื่อนั้น จะเป็นวิถีจิตไม่เป็นวิถีจิตไม่สำคัญ เพราะเพียงแต่ถ้าจะกล่าวง่ายๆ ขอยืมจิตมานับรูปเท่านั้นเอง แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่ขอยืมเพียงแต่อาศัยจิตเพื่อที่จะนับได้ว่ารูปมีอายุเท่าไหร่ เพราะไม่รู้จะอาศัยอะไรนับ

    ผู้ฟัง แล้วจนกว่าขณะไหนที่ทางปัญจทวารจะเกิดเริ่มแรกเลยที่เป็นปัญจทวาร

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่ว่าอะไรจะกระทบทวารไหน

    ผู้ฟัง หลังจากที่มโนทวารวิถีดับไป

    ท่านอาจารย์ มโนทวารวิถีดับไปแล้ว จิตก็เป็นภวังค์ไปอีกเรื่อยๆ จนกว่ากรรมใดจะทำให้วิบากจิตใดเกิดขึ้นรู้อารมณ์ใด ทางทวารใด

    ผู้ฟัง ซึ่งไม่มีกำหนดที่ชัดเจน แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ ถ้าคน ๒ คนอยู่บ้านเดียวกัน คนหนึ่งตื่น อีกคนหนึ่งไม่ตื่นก็ได้ใช่ หรือไม่ แล้วแต่กรรมใดจะทำให้วิบากใดเกิดขึ้นทางทวารใด เป็นผลของกรรมอะไร จะหลับก็เป็นผลของกรรม จะตื่น ถ้าทางปัญจทวารก็เป็นผลของกรรม

    ผู้ฟัง ได้ยินว่าหลังจากที่ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ก็จะมีภวังค์เกิดอีก๑๖ ขณะ เพราะฉะนั้นจึงเข้าใจเอาเองไปว่าปฏิสนธิจิตเป็นอตีตภวังค์ ไม่ใช่ ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ปฏิสนธิจิตต้องเป็นปฏิสนธิจิตจะเป็นภวังค์ไม่ได้เพราะอะไร เพราะไม่ได้ทำภวังคกิจแต่ทำปฏิสนธิกิจคือสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน จิตใดก็ตามที่เกิดต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เกิดแล้วก็จะเรียกว่าอะไรดี ก็เรียกว่าปฏิสนธิจิต เพราะว่าสืบต่อจากชาติก่อนทำปฏิสนธิกิจ ไม่ได้ทำภวังคกิจ

    ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ลึกซึ้ง และก็มีอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยขาดเลย แต่ว่าถ้าไม่ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก็จะไม่ถึงแม้แต่ความหมายของคำว่า"ธรรม" เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงธรรมแล้วก็เป็นอนัตตา คือไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟัง ประโยชน์ก็คือว่าแม้ฟังอยู่แต่การที่จะเข้าถึงความเป็นธรรม หรือความเข้าใจสิ่งที่มีว่าเป็นธรรม เราถึงระดับไหน ขณะนี้มีธรรม ฟังเข้าใจ ไม่เคยขาดธรรมเลย

    แต่ความเข้าใจของเรา ปัญญาของเรา ถึงลักษณะที่เป็นธรรมแค่ไหน เช่น ในขณะที่กำลังเห็น เป็นธรรม หรือว่าเป็นคุณจำนงค์ คุณธนากร เพียงแค่นี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า เราจะต้องฟังด้วยความแยบคายจริงๆ ด้วยการพิจารณาจริงๆ ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงจากการประจักษ์แจ้ง ไม่ใช่เพียงที่ใครจะคิดตามแล้วก็คิดว่าได้เข้าใจธรรมแล้ว

    แต่ว่าการที่จะเข้าถึงธรรม มีถึง ๓ ขั้น คือขั้นฟังเรื่องราวของสภาพธรรม เช่น ในขณะนี้เราก็พูดกันย้ำแล้วย้ำอีก จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิตเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ เช่น กำลังเห็น แม้จะกล่าวว่าอย่างนี้ แต่ใจของเราจริงๆ ที่จะเข้าถึงความเป็นธรรมจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเพียงด้วยการฟัง ฟังก็รู้เรื่อง แต่ว่าลักษณะที่เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง และการที่จะมีการเห็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้จะเริ่มอย่างไร เพราะเหตุว่าต้องมีจิตขณะแรกซึ่งเกิด ซึ่งขณะนั้นไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน แล้วก็ก่อนที่จะเป็นวิถีจิตคือการที่จะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ต้องมีทวาร หรือทางที่จิตจะเกิดขึ้น แล้วต้องเกิดตามลำดับ ไม่มีใครไปจัดการเลย แต่นี่คือความเป็นธรรม เมื่อฟังแล้วมีความเข้าใจถึงความเป็นธรรมของทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆ ที่จะเข้าใจ

    ซึ่งคราวก่อนก็มีผู้ที่ถามว่าแล้วจะน้อมไปอย่างไร จริงๆ แล้วไม่มีตัวตนที่น้อม จากการที่ไม่เคยฟังเลย แล้วก็ได้เริ่มฟัง ได้เริ่มเข้าใจ กำลังน้อมโดยสังขารขันธ์ ที่ไม่ใช่เรา อุปมาเหมือนกับอีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรสุดสายตาเลย แล้วเรากำลังอยู่ฝั่งนี้ จะข้ามไปสู่ฝั่งโน้นอย่างไร นี่คือการน้อมจากการที่อยู่ฝั่งนี้อย่างเพลิดเพลินในสังสารวัฏฏ์มานาน ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้ว่าจะต้องมีการเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง มีผู้ที่รู้ และเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏในชีวิตประจำวันจริงๆ อย่างละเอียด อย่างประจักษ์แจ้ง และมีพระมหากรุณาที่จะทรงแสดงให้บุคคลอื่นซึ่งยังมืดอยู่ในอีกฝั่งหนึ่งสามารถที่จะค่อยๆ เห็นถูก เข้าใจถูก หรือแม้คิดถูก

    ความคิดของแต่ละคนถ้าเป็นอกุศลขณะนั้นไม่ถูกแน่ แต่ว่าความคิดก็เป็นสิ่งที่ห้ามไม่ได้ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าคิดถูก หรือคิดผิด ถ้าขณะใดที่เป็นกุศลจิตคิด ขณะนั้นถูกแน่ แต่ถ้าไม่ใช่กุศล ความคิดขณะนั้นต้องผิด จะถูกไม่ได้ในเมื่อเป็นอกุศล เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงความจริงของชีวิตว่าวันหนึ่งๆ ว่าเราคิดถูกมาก หรือน้อย ยังไม่ต้องไปถึงฝั่งโน้นที่แสนไกล เพียงแต่อยู่ฝั่งนี้แล้วก็เริ่มที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง จะเห็นได้ว่าถ้าไม่อาศัยพระธรรม อย่างไรๆ ใครก็คิดถูกเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น การศึกษาทั้งหมดก็จะต้องให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า สติปัญญาจากความเป็นผู้ที่หนาแน่นด้วยความไม่รู้ แล้วก็มาได้ยินได้ฟังบ้าง ความรู้ความเข้าใจของเรามากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะต้องอบรมไป และจะรู้ว่าแม้เพียงความคิดยังไม่ต้องเป็นสติสัมปชัญญะ ยังไม่ต้องเป็นสติปัฏฐานที่จะค่อยๆ ไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง

    เพียงแค่ความคิดถูกก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แต่ว่าเราจะเห็นได้ว่าก่อนนี้เราเคยคิดเป็นอกุศลมากเลย แต่ทำไมบางวันเราคิดถูกว่าพระธรรมมีประโยชน์ และสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเพื่ออนุเคราะห์ให้คนที่ได้ยินได้ฟังได้พิจารณาในความลึกซึ้ง ในความละเอียดจนกระทั่งมีความเห็นถูกขึ้น แต่ก็จะต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ตั้งแต่ความคิดถูกที่จะเห็นประโยชน์ และมีความอดทนที่รู้ว่าไม่ใช่สิ่งง่ายๆ เลย เช่น แม้แต่คำว่า "ธรรม" ได้ยินได้ฟังว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาขณะนี้เป็นธรรมกำลังปรากฏ แต่เป็นปรมัตถธรรม หรือว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล

    เพราะฉะนั้น เมื่อฟังธรรมก็จะรู้ได้ว่าปัญญาเริ่มเข้าใจถูกในความต่างของสมมติบัญญัติ คือ สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง โดยค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งก็ปรากฏในชีวิตประจำวันทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง ซึ่งเราก็ได้กล่าวถึงแล้วว่า แม้จิตจะเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ แต่ถ้าไม่มีทางที่จิตจะรู้ แม้ว่าจิตเป็นธาตุรู้ สภาพรู้คือเกิดขึ้นแต่ไม่มีทางจะเห็น ไม่มีทางจะได้ยิน ไม่มีทางจะได้กลิ่น ไม่มีทางจะลิ้มรส ไม่มีทางจะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส จิตก็รู้อะไรไม่ได้เลย ไม่มีการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แม้ว่าจิตเป็นธาตุรู้ที่ต้องรู้ เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ แต่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าขณะนั้นอะไรเป็นสิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยทาง หรือทวาร ซึ่งไม่ว่าจะในโลกนี้ หรือโลกไหนก็ตาม ก็มีเพียง ๖ ทาง แต่จะขาดทางหนึ่งทางใดก็ได้แล้วแต่กรรม ถ้าคนตาบอดก็ไม่มีจักขุทวาร ไม่มีจักขุปสาท ถ้าคนหูหนวก ก็ไม่มีโสตปสาทซึ่งเป็นโสตทวาร

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่าขณะนี้ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลเลย แต่มีธรรมที่อาศัยทางหนึ่งทางใดในขณะนี้เกิดขึ้นจึงสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนี้เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งก็ได้แก่จิต และเจตสิกที่กำลังเห็น

    ฟังไปอย่างนี้เบื่อ หรือยัง ถ้าเบื่อก็คือว่าไม่มีหนทางอีกแล้ว เพราะเป็นเรื่องของความไม่รู้ที่มืดมาก แล้วกว่าจะค่อยๆ รู้เพิ่มขึ้น คิดดูก็แล้วกัน กี่ชาติที่ต้องฟัง ฟังแล้วก็ต้องแยบคาย การคิดก็จะปรุงแต่งให้เป็นความคิดที่ถูกต้อง ในทางที่มีเหตุผลขึ้น จนกว่าจะถึงกาลที่สามารถจะมีเครื่องมือ คือเรือที่จะข้ามฝั่ง แต่ขณะนี้เหมือนอยู่ในฝั่งซึ่งขณะนี้กำลังหาสิ่งที่จะทำให้เป็นเรือสำหรับที่จะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่ง ยังไม่ได้มีเรือจริงๆ แต่กำลังเป็นความเข้าใจที่เริ่มจะเห็นว่ากำลังอยู่คนละฝั่งกับสภาพธรรมที่ไม่เกิด และก็ไม่มีการที่จะต้องเป็นทุกข์ เพราะไม่มีการเกิดดับอีกเลย แต่กว่าจะถึงทางนั้นได้ ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และไม่ประมาทด้วย

    เพราะฉะนั้น เวลาฟังพระธรรมแต่ละครั้งให้ทราบว่าเป็นเรื่องจริงในขณะนี้ และความไม่รู้ที่เรากล่าวว่าอวิชชาๆ ก็ไม่ใช่รู้ขณะอื่น แต่คือขณะที่กำลังเห็นนี้ แล้วไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นแม้แต่เพียงคำว่าเป็นธรรม ก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะรู้ว่าถ้าเป็นธรรมเมื่อไหร่ ขณะนั้นรู้ว่าไม่ใช่บัญญัติ ไม่ใช่สิ่งที่เราเคยยึดถือว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ เพราะว่าเริ่มสามารถที่จะรู้ความต่างของปรมัตถ์กับบัญญัติ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมอาจจะฟังเรื่องเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ในพระไตรปิฎกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพระสูตร พระอภิธรรมก็ตาม ก็เป็นเรื่องสภาพธรรมที่มีจริง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ต่างกันเลย ในอดีต และอนาคต และปัจจุบัน เพราะเป็นอย่างที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ชาติก่อนก็เป็นอย่างที่ปรากฏในชาติก่อน ชาติหน้าก็จะเป็นอย่างที่กำลังปรากฏในชาติหน้า ก็ไม่ต่างกันเลย แต่ว่าความรู้ความเข้าใจต่างกัน เพราะเหตุว่าชาติไหนที่ไม่มีการฟัง ก็จะไม่มีความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่ชาติไหนที่ได้ยินได้ฟังในขณะที่กำลังฟังเป็นการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่ามีความเข้าใจพระธรรมในระดับไหน แล้วไม่ท้อถอยเลย เพราะว่าคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง คิดดูว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ในสังสารวัฏฏ์ทั้งชาตินี้เลย แต่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังยังรู้ว่าอยู่ตรงไหน คืออยู่ตรงที่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง และก็จะสะสมต่อไป

    เพราะฉะนั้น สำหรับวันนี้ก็เรื่องเดิมเป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ก็ไม่พ้นเลย แต่เริ่มเข้าใจขึ้นว่าทวารคือรูป ๕ รูป กับนามอีก ๑ เพราะว่าทวารทั้งหมดมี ๖ จักขุปสาทเป็นจักขุทวาร โสตปสาทเป็นโสตทวาร ฆานปสาทเป็นฆานทวาร ชิวหาปสาทเป็นชิวหาทวาร กายปสาทเป็นกายทวาร และภวังคุปัจเฉทะคือ ภวังค์ขณะสุดท้ายเป็นมโนทวาร การที่จิตจะเกิดดับรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งหมด เช่น สำหรับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กำลังเป็นภวังค์ก็เป็นผลของกรรมที่ทำให้ยังไม่ตาย ยังไม่พ้นจากความเป็นบุคคลนี้ ยังอยู่กันอีกกี่วันก็ไม่ทราบ แต่ก็ยังอยู่เพราะเหตุว่ายังไม่ถึงกาลที่กรรมจะสิ้นสุดที่จะทำให้จิตขณะสุดท้ายเกิด และดับไป และก็พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ขณะนี้ยังไม่ถึง แต่จะถึงวันไหนยังไม่สามารถที่จะทราบได้

    เพราะฉะนั้น แต่ละขณะก็คือศึกษาสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ว่า ที่เรากำลังเห็นต้องอาศัยจักขุปสาทเป็นทวาร ภวังคุปัจเฉทะเป็นทวารของจิตเห็นใช่ หรือไม่ ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าเป็นภวังค์ขณะสุดท้าย ซึ่งเมื่อดับไปแล้ววิถีจิตต้องเกิดโดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใด และต้องเกิดตามลำดับด้วย และไม่ใช่เพียงขณะเดียว ต้องแล้วแต่ว่าเป็นวิถีทางทวารไหน ถ้าถึงกาลที่กรรมที่ได้กระทำแล้วจะต้องทำให้เห็น จะไม่ให้เห็นได้ หรือไม่ ไม่มีทางเลย

    เพราะฉะนั้น ทุกครั้งถ้าระลึกได้ก็ทราบว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ทำให้จิตขณะนี้เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเลือกไม่ได้เลยว่าจะเห็นสิ่งใด

    แต่ก่อนจะเห็นจิตเป็นภวังค์ก่อน และเมื่อรูปารมณ์คือสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้ แต่ตอนนั้นกำลังกระทบกับปสาท เพราะฉะนั้นจิตเห็นยังไม่เกิด รูปเกิดก่อน ทั้งจักขุปสาทรูป และสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ต้องเกิดก่อน ซึ่งถ้าไม่ฟังจะไม่รู้เลย ว่าเกิดแล้วจึงได้ปรากฏ เมื่อเกิดแล้วกระทบกันด้วย ถ้าไม่กระทบกันจิตเห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้กระทบกับปสาท ขณะนั้นก็เป็นเครื่องหมายแสดงให้รู้ว่าเมื่อมีการกระทบของปสาทกับรูปที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะนั้นเป็นอตีตภวังค์ แสดงว่ามีการกระทบเกิดขึ้น เพราะว่าจะต้องอาศัยการเกิดดับของจิต แสดงว่ารูปนั้นที่มีอายุนานกว่าจิต ๑๗ ขณะจะดับเมื่อใด เพราะฉะนั้นเมื่อกระทบแล้วเป็นอตีตภวังค์ ให้ทราบได้เลยว่า ทุกครั้งที่มีรูปใดๆ กระทบจักขุปสาท หรือโสตปสาท หรือฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท หมายความว่ารูปนั้นเกิดพร้อมกับปสาทรูปแล้วก็กระทบกัน ขณะเมื่อเป็นภวังค์ แต่เมื่อมีการกระทบเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่ามีการกระทบก็เป็นอตีตภวังค์

    เมื่อเป็นอตีตภวังค์ดับไปแล้ว จะเห็นทันทีไม่ได้เลย นี่เป็นสิ่งซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้ว่าจิต ๑ ขณะ จะเล็กน้อย และก็สั้นมากสักเพียงไรก็ตาม แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์แจ้งความจริง และทรงแสดงความจริงนั้นว่า เมื่อมีรูปกระทบจักขุปสาทแล้ว จะเห็นทันทีไม่ได้ ต้องมีอตีตภวังค์ก่อน เมื่ออตีตภวังค์ดับไป ภวังคจลนะไหว ถ้าไหวนี่เราคิดถึงรูป แต่ความจริงให้คิดถึงสภาพของนามธรรมล้วนๆ ที่ไม่มีรูปเลย ใช้คำว่า "ไหว" หมายความถึง ใกล้ที่จะถึงการสิ้นสุดของการเป็นภวังค์ เพราะเหตุว่ามีกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น หรือการได้ยินเกิดขึ้น การได้กลิ่นเกิดขึ้น การลิ้มรสเกิดขึ้น การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว เป็นจิตประเภทที่เป็นวิบาก ไม่ใช่เป็นจิตที่เป็นเหตุคือกุศล และอกุศล

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าเมื่อถึงกาลที่กรรมใดสุกงอมที่จะให้ผล ทางที่กรรมจะทำให้วิบากจิตเกิดขึ้นรับผลต้องเป็นทางหนึ่งทางใดใน ๕ ทาง คือ จะเป็นทางตา หรือจะเป็นทางหู หรือเป็นทางจมูก หรือเป็นทางลิ้น หรือเป็นทางกาย เราบังคับอะไรได้ หรือไม่ มีเราสักขณะหนึ่ง หรือไม่ ที่จะทำอะไรๆ ให้เกิดขึ้นอย่างนี้ แต่สภาพธรรมเป็นจริงอย่างนี้ ก็เข้าใจตามความเป็นจริงว่า นี่คืออนัตตา มิฉะนั้นไม่มีทางเลยที่เราจะถึงธรรม เพราะเหตุว่าธรรมเป็นธรรมไม่ใช่ตัวตน ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น การฟังก็ต้องมีการไตร่ตรอง และมีการค่อยๆ เข้าใจ นี่คือกำลังโน้มไปสู่ทางที่จะไปอีกฝั่งหนึ่ง แต่จะไปได้แค่ไหน เครื่องมือมี หรือยัง เรือมี หรือยัง หรือกำลังหาอุปกรณ์ที่จะทำให้เป็นเรือที่จะทำให้ข้ามฝั่งไปได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่จริง ที่จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า นี่คือสัตว์โลกซึ่งไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องอาศัยการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แล้วจึงจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้ที่กำลังเห็น ก่อนนั้นเป็นภวังค์ และเมื่อรูปกระทบกับจักขุปสาทเป็นอตีตภวังค์ดับไป ภวังคจลนะไม่ใช่ไหวอย่างรูป แต่ใกล้ที่จะสิ้นสุดความเป็นภวังค์ และเมื่อภวังคจลนะที่เราใช้คำแปลสั้นๆ ว่า ไหว ดับไปแล้ว ก็เป็นภวังค์ขณะสุดท้าย ใช้คำว่าภวังคุปัจเฉทะ เมื่อภวังคุปัจเฉทะเกิดแล้วจะเป็นภวังค์อีกต่อไปไม่ได้เลย จะใช้คำว่าตัดกระแสภวังค์ หรืออะไรตามรูปศัพท์ก็ตาม แต่หมายความว่าสิ้นสุดกระแสภวังค์ จะเป็นภวังค์อีกต่อไปไม่ได้ จิตขณะต่อไปต้องเป็นวิถี ซึ่งถ้าเป็นวิถีต้องอาศัยทวารหนึ่งทวารใดเสมอ จะเป็นวิถีจิตโดยไม่อาศัยทวารไม่ได้เลย เมื่อเวลากล่าวถึงวิถีจิตต้องคู่กับทวาร หรือกล่าวถึงทวารต้องคู่กับวิถีจิต ไม่ใช่คู่กับภวังค์ เพราะเหตุว่าภวังค์สามารถที่จะรู้อารมณ์ได้โดยไม่ต้องอาศัยทวารเลย เพราะว่าจิตที่สามารถจะรู้อารมณ์ได้โดยไม่อาศัยทวารหนึ่งทวารใดเลย มี ๓ ขณะ คือ ปฏิสนธิขณะ ภวังค์ขณะ จุติขณะ นอกจากนั้นแล้วต้องอาศัยทวาร จะรู้ หรือไม่รู้ก็ตามก็ต้องอาศัยทวาร

    เพราะฉะนั้น วิถีจิตแรกที่ไม่ลืม คือ ปัญจทวาราวัชชนจิต เป็นคำรวมสำหรับ ๕ ทวาร แต่ถ้าเป็นทางจักขุจิตที่เกิดขึ้นรำพึงถึง หรือเริ่มรู้สึกตัวว่ามีอารมณ์กระทบที่ทวารนั้น ถ้าเป็นทางตา ก็เป็นจักขุทวาราวัชชนจิต ถ้าเป็นทางหูก็เป็นโสตทวาราวัชชนจิต ถ้าเป็นทางจมูกก็ฆานทวาราวัชชนจิต ก็เติมเข้าไป จนถึงชิวหาทวาราวัชชนจิต กายทวาราวัชชนจิต นี่ก็เป็นเรื่องของทั้ง ๕ ทวาร ซึ่งขณะนี้มีทวารหนึ่งทวารใด เราก็เข้าใจแล้วว่าเป็นเรื่องของธรรมซึ่งเกิดสืบต่อโดยที่ใครก็ไม่สามารถที่จะเป็นตัวตนที่จะไปบังคับบัญชาได้

    เมื่อจิตขณะแรกซึ่งเป็นวิถีจิตเกิดคือปัญจทวาราวัชชนจิต เราศึกษาเรื่องธรรมว่าถ้าจะศึกษาต้องศึกษาเรื่องชาติการเกิดด้วย สภาพธรรมที่เกิด เช่นจิต และเจตสิก ต้องเป็นชาติหนึ่งชาติใดใน ๔ ชาติ คือเกิดขึ้นเป็นกุศล หรือเกิดขึ้นเป็นอกุศล หรือเกิดขึ้นเป็นวิบากเป็นผลของกกุศล และอกุศล หรือเกิดขึ้นไม่ใช่กุศล หรืออกุศล หรือวิบาก แต่เป็นกิริยา เพราะฉะนั้นสำหรับปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นกิริยาจิต ยังไม่ใช่วิบากจิตเลย เพราะฉะนั้นทุกคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็มีกิริยาจิตที่เป็นวิถีจิตแรกทางปัญจทวาร ๕ ทวาร ก็เป็นปัญจทวาราวัชชนะจิต ถ้าทางใจเป็นมโนทวาราวัชชนะจิต เพราะฉะนั้นวิถีจิตแรกจะมี ๒ ประเภท คือ ถ้าทางปัญจทวารก็เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต ถ้าเป็นทางใจทางมโนทารก็เป็นมโนทวาราวัชชนจิต

    สามารถจะรู้ ปัญจทวาราวัชชนจิต มโนทวาราวัชชนจิต ได้ หรือไม่ ไม่ได้ แต่ฟัง แล้วก็รู้ว่าใครรู้ ใครประจักษ์ ใครทรงแสดง เพื่อให้เห็นความเป็นอนัตตา ขณะนี้กำลังน้อมไป โน้มไปที่จะเข้าใจความเป็นอนัตตาของสภาพธรรม

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 135
    17 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ