พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 22


    ตอนที่ ๒๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าพูดถึงวิบากขอให้ทราบว่าหมายความถึงจิต แต่เป็นจิตอีกประเภทหนึ่งที่ไม่ใช่จิตที่เป็นเหตุ แต่เป็นจิตที่เป็นผลของเหตุที่ได้กระทำแล้ว เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นผลต้องเกิดขึ้นทำกิจตามประเภทของผลนั้นๆ คือ ทำกิจเห็น หรือ ทำกิจได้ยิน ทำกิจได้กลิ่น ทำกิจลิ้มรส ทำกิจรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย นี่คือปกติในชีวิตประจำวัน นอกจากนั้น ภวังคกิจ หรือปฏิสนธิกิจที่ได้กล่าวถึงแล้วว่า ชาตินี้เริ่มต้นด้วยจิตขณะแรก คือ จิตที่เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดเป็นแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตจะหลากหลาย แม้ว่าโดยประเภท ทุกคนที่เกิดมาในภูมิมนุษย์ หรือเทวดา หรือ เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นสัตว์ที่เป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นกามภูมิ เป็นระดับของกาม แต่ก็เกิดต่างกัน เหตุใดเราเกิดในภูมินี้ ไม่เกิดในสวรรค์ เหตุใดเราไม่เกิดในนรก ดีใจใช่ไหม พอพูดถึงสวรรค์ ทำไมเราไม่เกิดบนสวรรค์ แต่พอพูดถึงในนรก ดีแล้วที่ไม่เกิดในนรก ไม่เกิดเป็นเปรต ไม่เกิดเป็นอสูรกาย ไม่เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะกุศลกรรมเป็นเหตุ แต่กุศลกรรมเนื่องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เสมอๆ เพราะฉะนั้นผลที่ได้รับก็จะไม่พ้นไปจากการที่จะรู้รูป คือสีสันวัณณะต่างๆ ที่ปรากฏทางตา ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย และเมื่อมีกุศลกรรม อกุศลกรรมซึ่งเป็นเหตุ วิบากก็ต้องเป็นกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก

    เพราะฉะนั้น เราจะรู้ด้วยตัวของเราเอง เวลาที่อะไรเกิดขึ้น ใครทำให้ มีใครทำให้ หรือไม่ จิตของคนอื่นจะมาทำให้จิตนี้เกิดขึ้นได้ หรือไม่ จิตใครก็ตามที่ทำกรรมอะไรไว้มากๆ ทำกุศลกรรมอาจจะมากก็เรื่องของเขา ทำอกุศลกรรมไว้มากก็เรื่องของเขา แต่จะมาทำให้วิบากจิตของเราเกิดขึ้นเป็นไปได้ หรือไม่ ไม่ได้เลย วิบากจิตที่เกิดกับเราก็ต้องเป็นผลของกุศลกรรม และอกุศลกรรมที่เราเองได้กระทำแล้ว

    ผู้ฟัง ถ้าเราสนับสนุนให้คนบางคนทำกุศลกรรม จะนับเป็นปัจจัย หรือไม่

    ท่านอาจารย์ กุศลจิตของใคร

    ผู้ฟัง ของตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ดับไปแล้วใช่ หรือไม่ กุศลจิตนี่ดับไปแล้ว เป็นปัจจัย หรือไม่เป็นปัจจัยที่จะให้ผลเกิดในเมื่อเป็นเหตุ

    ผู้ฟัง คือเราสนับสนุนให้เพื่อนทำกุศล มันน่าจะมีกุศลวิบากเกิดขึ้นบ้าง เป็นไปได้ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ แล้วแต่การสะสมของบุคคลนั้น ถ้าอย่างนั้นทุกคนก็ช่วยคนอื่นได้เลย ให้มีปัญญามากๆ ให้เข้าใจมากๆ ให้ทำกุศลกรรม ไม่ให้ทำอกุศลกรรมเลย ไม่ให้อกุศลจิตเกิดเลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาอัธยาศัยของสัตวโลก เพราะฉะนั้นก็ได้ทรงแสดงพระธรรมเพื่ออนุเคราะห์บุคคลที่ได้สะสมปัญญามา และสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้สะสมปัญญามา ถ้ามีฉันทะ อัธยาศัยที่จะฟัง ที่จะพิจารณา เพราะว่า ถ้าเราศึกษาสภาพของจิตหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นว่าไม่เป็นไปตามความต้องการของใครเลย ไม่เป็นไปตามความคิดของใครเลย แต่จะมีปัจจัยตั้งแต่ละเอียดมาก ที่สะสมมานานแสนนานก็ยังเป็นปัจจัย จนกระทั่งถึงแม้ขณะที่ผ่านไปเมื่อครู่นี้เองก็เป็นปัจจัย ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเข้าใจจริงๆ ถึงการเกิดขึ้นของจิตหนึ่งขณะ พร้อมด้วยปัจจัยต่างๆ เราจะรู้ได้จริงๆ ว่า ทุกอย่างต้องอาศัยปัจจัย เพราะฉะนั้นการมีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรม ทุกคนได้ยินได้ฟัง หรือไม่ บางคนได้ฟังพระธรรมจากการหมุนพบในวิทยุก็หลายคน อะไรที่เป็นปัจจัย และก็ถึงแม้ว่าได้ยินได้ฟังแล้ว บางคนก็เดินผ่านไปเลย ไม่สนใจ อะไรเป็นปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น บางคนก็สนใจทันที ศึกษาทันที อะไรทำให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย พร้อมด้วยเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมใดเกิดขึ้นปรากฏเป็นอย่างนี้ในขณะนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ก็ทำทำให้เราเข้าใจความหมายของคำว่า “อนัตตา” ยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องรู้ว่าเสียงที่จะได้ยิน ต้องมีปัจจัยที่จะให้ได้ยิน และเมื่อได้ยินแล้วจะเกิดฉันทะ เกิดศรัทธา หรือไม่เกิด หรือจะเกิดปัญญาระดับไหนก็แล้วแต่ปัจจัย

    ผู้ฟัง ไม่เข้าใจว่ารูปอะไรบ้างที่มีขันธ์ ๕ ที่อยู่บนร่างกายของมนุษย์ ขอคำอธิบาย

    อ.ธิดารัตน์ รูปร่างกายเฉพาะรูปขันธ์ เป็นที่อาศัยของหมู่หนอน ๘๐ เหล่า ซึ่งก็เป็นที่เกิดที่ตายของหมู่หนอนที่อาศัยอยู่ ซึ่งหนอนแต่ละตัวก็มีจิต เจตสิก รูป เหมือนกัน แต่ร่างกายของเรา รูปขันธ์ของเราเป็นที่อาศัยของหมู่หนอนเหล่านี้ เพราะฉะนั้นจิต เจตสิก ก็เกิดดับของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเรา ส่วนตัวเรา จิต เจตสิกของเราอาศัยวัตถุที่เกิดซึ่งมาจากกรรมของเรา ก็เป็นเฉพาะตัวเรา

    ผู้ฟัง หมู่หนอนเกิดจากกรรม หรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ ถ้ามีจิต เจตสิก ก็ต้องเกิดจากกรรม

    ผู้ฟัง เกิดจากอุตุก็ได้ใช่ หรือไม่

    อ.ธิดารัตน์ นั่นหมายถึงสมุฏฐานที่ทำให้เกิดรูป รูปมีสมุฏฐาน ๔ เกิดจากกรรม จิต อุตุ และอาหาร โดยที่นี้หมายถึง อุปมา

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยคะ ที่ตัวคุณวิชัยมีสัตว์จริงๆ หรือไม่

    อ.วิชัย มี

    ท่านอาจารย์ มีมากตามที่คุณธิดารัตน์กล่าว หรือไม่

    อ.วิชัย มี สัตว์ประเภทต่างๆ ที่เป็นพยาธิต่างๆ

    ท่านอาจารย์ หนอนนี่มีแน่ใช่ไหม หรือแล้วแต่คน สัตว์ตัวเล็กๆ กว่านั้นมี หรือไม่ เพราะว่าบางทีเครื่องขยายนี่จะทำให้เห็นว่า แม้แต่ที่ขนตาก็จะมีสิ่งที่มีชีวิตที่ละเอียด และก็เล็กมาก แต่อย่างไรก็ตาม เราพิจารณาสิ่งที่เราพอมองเห็นดีกว่า และก็ถ้าพูดโดยปรมัตถธรรม ร่างกายนี่เป็นของเรา หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ จอมปลวกข้างนอกเป็นรูป แล้วร่างกายของเรา ...

    ผู้ฟัง เหมือนจอมปลวก

    ท่านอาจารย์ โดยที่ว่ามีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่สมุฏฐานที่เกิดแม้จะต่างกัน แต่ธาตุไม่ได้ต่าง เพราะฉะนั้นรูปที่กายทั้งหมด จะเย็นตรงนี้กับเย็นข้างนอกก็คือธาตุ จะอ่อนจะแข็งตรงนี้ หรือข้างนอก ก็คือธาตุดิน เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจโดยความเป็นสภาพธรรมที่มีสมุฏฐานเกิดแล้วดับ รูปทุกรูปเกิดแล้วก็ดับแต่ว่าสมุฏฐานต่างกัน รูปภายนอกที่ไม่เป็นที่เกิดของจิต ซึ่งภาษาโบราณใช้คำว่า “ที่ไม่มีใจครอง” แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า จะใช้สำนวนอย่างไรก็ตามแต่ แต่ต้องเข้าถึงลักษณะที่แท้จริงของรูป คือรูปที่ไม่เป็นที่เกิดของจิตก็จะเกิดจากอุตุ รูปภายนอกทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า จะไม่มีรูปที่เกิดเพราะจิต ไม่มีรูปที่เกิดเพราะกรรม ไม่มีรูปที่เกิดเพราะอาหารเลย แต่มีรูปที่เกิดเพราะอุตุอย่างเดียว ใส่ปุ๋ย หรือดิน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ธาตุต่างๆ ร้อนเย็น ระดับต่างๆ ก็ทำให้รูปภายนอกซึ่งเกิดเพราะอุตุมีสัณฐานต่างกัน ดิน เพชร ต้นไม้ ผลไม้ ดอกไม้ ล้วนแต่เป็นสิ่งซึ่งเกิดเพราะอุตุทั้งนั้น แต่แม้กระนั้นทั้งหมดก็เสมอกันโดยความเป็นธาตุ เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจจริงๆ เช่น ข้อความในพระสูตรที่แสดงว่า เวลาที่เขาเผาหญ้า กับเวลาที่เห็นเขาเผาหญ้า เราไม่ได้รู้สึกเลยว่าหญ้านั้นเป็นเรา ฉันใด แข็งตรงนี้ทำไมถึงจะเป็นเรา ในเมื่อก็แข็งเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่เราจะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ปรมัตถธรรมไม่เปลี่ยนเลย รูปเป็นรูป เพียงแต่ว่ารูปที่ตัวเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดจากอุตุ ความเย็น ร้อน เป็นสมุฏฐานก็มี เกิดเพราะอาหารเป็นสมุฏฐานก็มี แต่ว่าธาตุดินต้องเป็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมก็ไม่เปลี่ยนลักษณะ

    เพราะฉะนั้น เรายึดครองรูปที่ตัวเราตั้งแต่เกิดเลยว่าเป็นของเรา ไม่เห็นการแตกสลายไปเลย แต่ความจริงทุกกลุ่มของรูปที่ละเอียดมาก เพราะมีอากาศธาตุแทรกคั่น เมื่อเกิดแล้ว รูปที่เป็นสภาวรูป คือ รูปที่มีลักษณะจริงๆ จะมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เร็วแค่ไหน ความไม่เที่ยงของรูป ซึ่งเหมือนกับว่าเห็นสีสันวรรณะที่ไม่ดับเลย จับเมื่อใด กระทบเมื่อใด ก็อ่อน ก็แข็ง เหมือนไม่ได้ดับเลย แต่ความจริงเกิดดับ เพราะฉะนั้น การที่เข้าถึงการเป็นอนัตตาของปรมัตถธรรม ไม่มีอะไรเลยที่เป็นของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาทั้งจิต ทั้งเจตสิก ทั้งรูป และที่แสดงว่ามีสัตว์ที่มีชีวิตอาศัยอยู่ในตัว ถ้ารู้ ก็เห็น แต่ถ้าไม่รู้ ก็ไม่เห็น เหมือนกับว่าไม่มีอะไร

    ผู้ฟัง ตัวพยาธิที่อยู่ในร่างกายเรา อาจจะเป็นรูปที่เกิดจากอุตุ ไม่มีวิญญาณ อย่างนั้น หรือไม่

    อ.อรรณพ ถ้ามีจิต มีเจตสิก เป็นสิ่งที่มีชีวิต เพราะว่ารูปที่เกิดจากกรรมจะต้องมีชิวิตตินทรีย์ ถ้าเป็นสัตว์ที่เราเห็นชัดๆ ว่าเขามีชีวิตจริงๆ และเห็นชัด แต่ถ้าเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น ก็ไม่ต้องมานั่งคิด

    ท่านอาจารย์ การที่เรามีความสนใจธรรมแล้วเราก็คิดไปถึงเรื่องอื่นด้วย แล้วก็เราอยากจะเข้าใจว่าในทางธรรมทรงแสดงไว้อย่างไร ก็เป็นเรื่องของความคิด ซึ่งแต่ละคน คนโน้นอาจจะคิดเรื่องนี้ คนนี้อาจจะคิดเรื่องนั้น แต่ว่าเรื่องที่เป็นประโยชน์ก็คือว่า เราสามารถจะเข้าใจความเป็นอนัตตา อันนี้เป็นจุดประสงค์ แต่ว่าที่จะไม่ให้คิดเลยคงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเมื่อคิดแล้วบางท่านก็ยังอยากจะทราบว่าพระพุทธศาสนาที่ว่าแสดงไว้ละเอียด แสดงในเรื่องนี้ หรือไม่ แต่จริงๆ แล้วก็คือว่า มีมากมายที่เราไม่สามารถจะรู้ได้แม้ว่าทรงแสดงไว้ก็ตาม ถ้าเปิดตำราพระไตรปิฎกทั้งสามปิฎกทั้งหมด เราไม่สามารถที่จะรู้ได้หมดเลย เพราะเป็นปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรามีศรัทธาที่จะได้เข้าใจ และเริ่มเข้าใจโดยเมื่อได้ยินได้ฟัง ซึ่งนับว่าต้องน้อยมากเมื่อเทียบกับส่วนของพระไตรปิฎกจริงๆ แต่เราก็พยายามที่จะให้เป็นความเข้าใจของเราเองจนกว่าเราจะสามารถที่จะรู้ความจริงตามที่ผู้รู้จริงได้ทรงแสดงไว้

    อ.ธิดารัตน์ ในพระสูตรที่ท่านอุปมารูปขันธ์ว่ามีหมู่หนอนอาศัยอยู่ ก็เพื่อให้เราเห็นความไม่งาม ความเกิดดับ ความแตกสลายไปของรูป ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ และความเป็นอนัตตา ไม่ได้ให้เราสงสัยมากมายว่าจะมีมากกว่า ๘๐ ชนิด หรือไม่ ที่ท่านแสดงไว้ ๘๐ ชนิดนี้ ท่านแสดงว่าสัตว์เหล่านี้มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเรา เพื่อให้เห็นว่าร่างกายนี้ไม่งามอย่างไร

    อ.อรรณพ ในเผณปีณฑสูตร ที่ คุณธิดารัตน์ยกมา ก็เห็นถึงพระคุณของพระพุทธองค์ เมื่อพระองค์ประทับอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง ก็เห็นมีฟองน้ำลอยมา ฟองน้ำก็เป็นสิ่งที่ไม่มีสาระแก่นสารอะไร ภายในนั้นก็มีพวกหมู่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ และฟองน้ำนั้นก็สลายไปตามเหตุปัจจัย พระองค์ก็ทรงแสดงตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่ทรงทอดพระเนตรเห็นฟองน้ำลอยมา แล้วก็ทรงแสดงพระธรรมที่จะให้ผู้ฟังได้เห็นโทษของการยึดติดในสิ่งที่ไม่มีสาระคือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยนัยที่ทรงเปรียบเทียบอุปมาต่างๆ นั้นเอง

    ท่านอาจารย์ ถามว่า มีใครพ้นจากวิบากคือผลของกรรมได้บ้าง หรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่มีครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่มี เดี๋ยวนี้มีผลของกรรมไหม

    ผู้ฟัง มีครับ

    ท่านอาจารย์ นี่คือต้องทราบ เพราะโดยมากเราไปคิดถึงเหตุการณ์ใหญ่ๆ เวลาที่ได้ลาภ ก็เป็นผลของกุศลกรรมกรรม เวลาที่เป็นทุกข์เดือดร้อนก็เป็นผลของอกุศลกรรม แต่ให้ทราบว่าไม่มีเลยที่วันหนึ่งๆ จะไม่มีผลของกรรม ทุกขณะที่เห็นเป็นวิบาก ทุกขณะที่ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นวิบากทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นวิบากในชีวิตประจำวันก็มีทาง ๕ ทาง ที่จิตจะเกิดขึ้นรับผลของกรรม คือ มีตาสำหรับจักขุวิญญาณเกิดขึ้นเห็น แล้วแต่ว่าจะเป็นผลของกุศลกรรม หรืออกุศลกรรม ทางหูต้องได้ยิน อยากได้ยิน หรือไม่อยากได้ยิน เมื่อครู่นี้ก็มีผู้บอกว่าได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ก็ให้ทราบว่าขณะนั้นไม่มีใครทำให้เลย กาลของกรรม เห็นได้เลยว่ามีแรงกรรมที่ไม่มีแรงอื่นจะเสมอเหมือน อยู่ที่นี่ตายก็ไปเกิดในสวรรค์ก็ได้ นรกก็ได้ ตามแรงของกรรม หรือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ที่เรารู้สึกว่าแปลกน่าอัศจรรย์ ไม่น่าจะเกิดแต่ก็เป็น ไม่มีใครไปพยายามให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่ากรรมก็สามารถจะเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น โดยที่ต้องรู้ว่าคนอื่นไม่ได้ทำให้เลย แต่กรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อสุกงอมเป็นวิบาก พร้อมที่จะเกิดขึ้นก็คือในชีวิตประจำวันทุกขณะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แต่ว่า หลังจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว โดยคร่าวๆ ก็คือว่า ต่อจากนั้นไม่ใช่วิบาก คือไม่ใช่ผลของกรรม เพราะเหตุว่าพอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง ในสิ่งที่เห็น ตราบใดที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็จะต้องเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตชาติหนึ่งชาติใด แล้วก็รู้ตัวเองได้ใช่ หรือไม่ ว่าชาติไหนมาก คุณวิจิตร กล่าวว่า จะเป็นกุศล หรืออกุศล แต่ต้องเป็นหนึ่ง หลังจากได้ยินแล้วจิตใครเป็นกุศล จิตใครเป็นอกุศล ธรรมไม่ใช่ให้ไปรู้ขณะอื่น แต่ในขณะนี้ หรือเมื่อครู่นี้ที่เสียงปรากฏแล้วได้ยิน จะรู้ว่าหลังจากที่ได้ยินแล้ว เป็นกุศลก็ไม่รู้ เป็นอกุศลก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าขณะนั้นไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่จะรู้จริงๆ จึงได้กล่าวว่าเป็นกุศล หรืออกุศล แต่ถ้าจะรู้จริงๆ เป็นความรวดเร็วแค่ไหน เพราะว่าเสียงที่ได้ยินเกือบจะไม่ทิ้งช่วงว่างเลย ใช่ไหม ได้ยินเป็นคำต่อกันไปเรื่อยๆ แต่ต้องทราบชัดเจนว่าขณะที่ได้ยินเป็นผลของกรรม สั้นๆ หลังจากนั้นต้องมีกุศล หรืออกุศลถ้าไม่ใช่พระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าเราไม่รู้ในสภาพธรรมที่เกิดกับเราตามความเป็นจริง เพียงแต่เรียนเรื่องราวของสภาพธรรมที่เป็นจริงว่า หลังจากเห็น ขณะนี้ที่กำลังเห็น กุศล หรืออกุศลเกิดต่อ บอกไม่ได้ใช่ หรือไม่ หลังจากที่ได้ยินกุศล หรืออกุศลเกิดต่อ ก็บอกไม่ได้อีก เพราะอะไร เพราะดับอย่างเร็วมาก แล้วก็มีวิบากเกิดสืบต่อทันที ยากแสนยากที่จะรู้จริงๆ ว่า หลังจากที่เห็นแล้วในขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นกุศล หรืออกุศล เพราะว่าจิตจะเกิดดับสืบต่อจนกระทั่งปรากฏเสมือนเป็นคนที่นั่งอยู่ แต่ว่าความจริงแล้วเป็นจิตแต่ละขณะซึ่งรู้อารมณ์แต่ละอย่าง เช่นทางตาในขณะนี้ ทางตาจริงๆ เห็นสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น จะรู้ว่าเป็นคน เป็นสัตว์เมื่อล่วงเลยขณะของทางจักขุทวารวิถีแล้ว เพราะฉะนั้น ช่วงที่กำลังเห็น แล้วเห็นคน มีทางที่จะรู้ หรือไม่ว่าก่อนที่จะเห็นคน เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งเพียงแต่เราศึกษาให้ทราบว่ากุศลขณะใด อกุศลขณะใด วิบากขณะใด กิริยาขณะใด

    กิริยาทั้งหมดส่วนใหญ่เป็นของพระอรหันต์ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ จะมีกิริยาจิต ๒ ประเภท คือ จิตที่ไม่ใช่ภวังคจิต เพราะว่าก่อนที่จะมีการรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก่อนจะคิดนึก ก่อนจะเห็น จิตต้องเป็นภวังค์ ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ยังไม่เห็นต้องเป็นภวังค์ ยังไม่ได้ยินต้องเป็นภวังค์ ยังไม่ได้กลิ่น ยังไม่ได้ลิ้มรส ยังไม่ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสต้องเป็นภวังค์ ยังไม่ได้คิดนึก จิตต้องเป็นภวังค์ เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะเห็น กิริยาจิตจะเกิด เปลี่ยนสภาพไม่เป็นภวังค์อีกต่อไป แล้วก็ยังไม่ใช่วิบากจิต เป็นแต่เพียงกิริยาจิตที่รู้ว่าสิ่งที่กระทบทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย หรือใจ เป็นอะไร แต่ไม่ใช่เห็น ยังไม่เห็น เพียงแต่รู้ เพราะฉะนั้นก็เหมือนคนอยู่ที่ประตู แล้วก็มีคนมาหา แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร ยังไม่ได้เห็นแต่รู้ว่ามี เพราะฉะนั้น สำหรับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งทุกคนต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส หลังจากที่ภวังคจิตดับ จะเป็นเห็น เป็นได้ยิน ทันทีไม่ได้ จากวิบากที่ดำรงภพชาติจะมาสู่วิบากที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ทันทีไม่ได้ จะมีกิริยาจิตซึ่งเกิดขึ้นทำกิจรู้อารมณ์ที่กระทบทางทวารหนึ่งทวารใดใน ๕ ทวาร จิตนี้เรียกชื่อตามกิจของจิตก็คือ “ปัญจทวาราวัชชนจิต” อาวัชชน คือ การรำพึงถึง ถ้าแปลโดยศัพท์ แต่ก็หมายความถึงการรู้ หรือการใส่ใจ ชั่ว ๑ ขณะ ที่รู้ว่ามีสิ่งกระทบ ทางตา หรือหู หรือจมูก หรือลิ้น หรือกาย แต่ยังไม่เห็น ไม่ได้ยิน นี่คือกิริยาจิต ซึ่งไม่ว่าคนที่เป็นพระอรหันต์ หรือไม่เป็นพระอรหันต์ก็ต้องมี เมื่อมีการเห็นขณะใดให้ทราบว่าก่อนนั้นต้องมีจิตที่เป็นกิริยาจิตเกิดก่อน เป็นปัญจทวาราวัชชนจิต และก่อนปัญจทวาราวัชชนจิต ก็คือภวังคจิต

    เพราะฉะนั้น วิบากจิต กิริยาจิต กุศลจิต อกุศลจิตในวันหนึ่งๆ ก็เกิดสลับกันทำกิจการงานหน้าที่ของจิตนั้นๆ เท่านั้นเอง ไม่มีเราสักขณะเดียว แต่เป็นจิตแต่ละชนิดแต่ละประเภทซึ่งเกิดดับสืบต่อ ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะมีกิริยาจิตเพียง ๒ ประเภทเท่านั้น คือกิริยาจิตซึ่งเกิดก่อนจิตเห็นชื่อว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเกิดก่อนจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ให้ทราบว่ามีกิริยาจิตที่เกิดด้วย ไม่ใช่ไม่มี เพราะเหตุว่าขณะนี้มีเห็น แต่ก่อนเห็นจะเกิดได้ ต้องเป็นปัญจทวาราวัชชนจิต และก่อนปัญจทวาราวัชชนจิตก็เป็นภวังคจิต นี่คือสิ่งที่เราจะได้เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริงแต่ละขณะ เมื่อเรียนเรื่องจิตก็ทราบประเภทของจิตเพิ่มขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามีคำถามว่า พระอรหันต์มีกิริยาจิตเพียง ๒ ประเภทใช่ หรือไม่ จะตอบว่าอย่างไร

    ผู้ฟัง ไม่ใช่

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะพระอรหันต์ ไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิต

    ท่านอาจารย์ พระอรหันต์ ไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิต แต่เป็นกิริยาจิต ในเมื่อผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์จะต้องเป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิต เมื่อเห็นแล้วจะไม่ให้เป็นกุศลจิต หรืออกุศลจิตไม่ได้เลย แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ เห็นแล้วได้ยินแล้วก็ตามแต่จะเป็นกุศลจิต และอกุศลจิตไม่ได้ ต้องเป็นกิริยาจิต นี่คือความต่างกัน

    ผู้ฟัง พระอรหันต์ท่านสามารถหยุดจิตของท่านได้ หรือไม่ ที่กุศลจิต และอกุศลจิตจึงไม่เกิด

    ท่านอาจารย์ การศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ตรงว่า ธรรมไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และเป็นอนัตตา เวลาที่คนธรรมดาที่ไม่ใช่พระอรหันต์ หรือพระอริยบุคคลที่ไม่ใช่พระอรหันต์เห็น ท่านยังมีกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นหลังจากที่เห็นดับไปแล้ว จิตเห็นเป็นจิตหนึ่งขณะ เมื่อดับไปแล้วไม่ทันจะรู้เนื้อรู้ตัวเลย สำหรับธรรมดานี่ก็คือเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอกุศล ไม่รู้เลยว่าเป็นอกุศล แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ไม่มีกิเลสที่จะทำให้หลังเห็นแล้วเกิดโลภะ โทสะ หรือกิเลสใดๆ เลย เพราะฉะนั้นความต่างไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ถ้ามีพระอรหันต์รูปหนึ่งอยู่ในห้องนี้ท่ามกลางผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ทั้งหลาย เวลาที่ท่านเห็น กับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์เห็น จิตเห็นเหมือนกัน

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 135
    6 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ