พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 2


    ตอนที่ ๒

    ณ สำนักงานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๖


    ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่นี้ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วมีอะไรอีก มีเห็น จริง ขณะที่กำลังฟัง ถ้าเป็นในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ผู้ฟังสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่เราพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเรื่อง “เห็น” และก็ไม่ต้องไปที่ไหนเลย ๖ โลกในชีวิตประจำวัน คือทางตามีเห็น ให้รู้ว่าขณะนี้มีเห็น เป็นธรรม ทางหูมีได้ยิน เป็นธรรม เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ ใครไม่มีบ้าง ไม่มีใครที่ไม่มีเลย แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ถ้ารู้ว่าเป็นธรรมอย่างตอนแรกที่กล่าวว่า ถึงแม้ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา แต่เป็นสิ่งที่มีจริง ต้องเกิดจึงปรากฏ ถ้าไม่เกิด จะปรากฏไม่ได้เลย แต่ไม่เคยรู้การเกิดว่า เกิดแล้วในขณะนี้จึงได้ปรากฏ และก็ไม่รู้ด้วยว่า ทันทีที่เกิดปรากฏก็ดับไปเลย และก็มีปัจจัยที่สภาพธรรมจะเกิดสืบต่อไม่ว่างเว้นจากธรรม จึงไม่ต้องหนีไปไหน ไม่ต้องแยกธรรมออกไปจากสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ อยู่ที่ไหนก็คือธรรมทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เพราะฉะนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่า ใครจะแยกธรรมออกไปได้บ้างจากชีวิตจริงทุกๆ ขณะนี้ แยกไม่ได้ หนีไม่พ้น ต้องเป็นธรรมที่มีอยู่

    ผู้ฟัง คิดนึกที่กล่าวว่าทางใจ ไม่ถูก หรือครับ

    ท่านอาจารย์ ยังไม่ได้ใช้คำว่าทางใจ ถามว่าอะไรมีบ้าง มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีการรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก ให้รู้ว่าเป็นธรรม คิดนึกเป็นธรรม เพียงเท่านี้ก่อน ยอมไหม หรือว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นต้องฟังแล้วฟังอีก แม้แต่คิดหนึ่งขณะก็ไม่ใช่เรา แค่เป็นธรรมก่อน เป็นสิ่งที่มีจริงๆ นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วยังมีความรู้สึกต่างๆ อีก ทุกท่านพิสูจน์ได้เลย ใช่ไหม ดีใจบ้าง เสียใจบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม ก็ยังไม่แยกว่าเป็นนามธรรม หรือรูปธรรม แต่เพื่อเตือนให้รู้ว่าเป็นธรรม สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา จากความรู้พื้นฐานขั้นต้นไปสู่การที่จะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม เพราะว่าจริงๆ แล้วความรู้สึกของแต่ละท่านไม่เที่ยง ไม่มีใครสุขได้ตลอดเวลา ไม่มีใครเป็นทุกข์ตลอดเวลา และความรู้สึกก็ไม่ใช่มีแต่เฉพาะสุข หรือทุกข์ทางกาย ทางใจก็มีความรู้สึก แม้ว่าร่างกายสบายดี แต่ใจก็เป็นทุกข์ได้ เพราะฉะนั้นก็แยกความรู้สึกอีกว่า ความรู้สึกทางกายก็อย่างหนึ่ง ความรู้สึกทางใจก็อย่างหนึ่ง ทั้งหมดเป็นธรรม แล้วเวลาที่ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ดีใจไม่เสียใจ ก็มีความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ด้วย ก็เป็นธรรมอีก เพราะฉะนั้นหนีธรรมไม่พ้นเลย เป็นธรรมทั้งหมด ที่จะให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมทั้งหมด ดังนั้น มีความรู้สึกแล้ว มีอะไรอีก

    ผู้ฟัง มีโทสะ

    ท่านอาจารย์ โทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ แล้วแต่ระดับว่าจะเล็กน้อยนิดหน่อย หรือแค่ขุ่นใจ หรือว่ามาก ถึงกับไม่ลืม คิดบ่อยๆ นั่นก็เป็นลักษณะของธรรมอีก เป็นสิ่งที่มีจริง และต่อไปเราจะรู้ว่าทั้งหมดที่มีจริงจะแยกประเภทออกไปเป็นอย่างไร ธรรมที่เป็นกุศล ที่เป็นอกุศล ที่ไม่ใช่กุศล ที่ไม่ใช่อกุศล ก็คือสภาพทั้งหมดที่เคยเป็นเรา ก็เป็นธรรมทั้งนั้น เพราะฉะนั้น นอกจากมีความรู้สึก มีโทสะ แล้วมีอะไรอีก

    ผู้ฟัง โลภะ

    ท่านอาจารย์ รู้สึกจะตอบได้ไม่ยากแล้วใช่ หรือไม่ โลภะความติดข้อง สิ่งนี้เห็นยากเพราะมีตั้งแต่ระดับที่ละเอียดมาก จนกระทั่งระดับที่หยาบพอที่จะรู้สึกได้

    ผู้ฟัง ความตระหนี่ ความริษยา

    ท่านอาจารย์ ความตระหนี่ ความริษยา มีมาก หรือมีน้อย จะถามใคร คนอื่นตอบให้ไม่ได้เลย สิ่งที่ปรากฏกับคนอื่น เพียงแต่ว่าเป็นส่วนที่ก่อนจะปรากฏ มีแล้ว แต่ว่ายังไม่ปรากฏกับคนอื่นเลย ต่อเมื่อใดปรากฏ ก็จะปรากฏลักษณะที่คนอื่นสามารถจะคิดถึงได้ เข้าใจได้ว่าเป็นลักษณะนั้นๆ เช่น เวลาที่สนุกมากๆ คนอื่นพอจะรู้ได้ไหม ลักษณะของความเพลิดเพลิน เป็นความติดข้อง หรือเปล่า มีจริงๆ หรือเปล่า เป็นธรรม หรือเปล่า นี้คือหนีไม่พ้นเลย กำลังโศกเศร้า ร้องไห้ มีจริงๆ หรือเปล่า มีจริง เป็นของใครไหม เกิดแล้วก็หมดไป ชั่วครั้งชั่วคราว ถ้าเรามีพื้นฐานที่มั่นคงว่าเป็นธรรม ต่อไปความเข้าใจว่าเป็นธรรมจะยิ่งเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นก็จะมีความเป็นเราแทรกเข้ามาอีก เพราะฉะนั้นจึงต้องรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม

    อ.วิชัย กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ถ้าขณะที่โกรธ หรือว่าโลภ ก็พอจะรู้สึกตัวว่าโกรธ หรือว่าโลภ แต่บางท่านเป็นคนช่างคิดว่า ในขณะที่หลับสนิทซึ่งไม่รู้อะไรเลยในโลกนี้ มีธรรม หรือไม่ หรือว่าธรรมจะมีในขณะที่เราตื่นเท่านั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ เราบอกได้ หรือไม่ว่าตอนที่หลับสนิทมีอะไรบ้าง หรือบอกไม่ได้ตามความเป็นจริง

    อ.วิชัย บอกไม่ได้

    ท่านอาจารย์ บอกไม่ได้ แต่พอตื่นแล้วรู้ว่า มี ใช่ หรือไม่

    อ.วิชัย ก็มีสิ่งต่างๆ มากมาย

    ท่านอาจารย์ หมายความว่ายังมีความทรงจำ ในลักษณะที่ไม่รู้อะไรเลย อะไรก็ไม่ปรากฏเลย เพราะฉะนั้นเราจึงสามารถที่จะมีคำบอกว่า ฝัน หรือหลับสนิท หรือว่าตื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง มีใครบ้างที่ไม่หลับ ไม่มีใช่ไหม เพราะฉะนั้น หลับมีจริง หรือไม่

    อ.วิชัย มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือไม่

    อ.วิชัย ถ้ามีจริง ก็ต้องเป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นธรรม นี่คือการที่เราจะไม่เหลืออะไรที่เป็นข้อข้องใจอีก ว่าอะไรเป็นธรรม หรือไม่เป็นธรรม คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ถ้าไม่รู้ก็คือเรา แต่ผู้รู้ รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ตอบได้แล้วใช่ไหมว่า หลับสนิท มีจริง เป็นธรรม ฝันมีจริงไหม

    อ.วิชัย มีจริง

    ท่านอาจารย์ เป็นธรรม หรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็น

    ท่านอาจารย์ ตื่น เป็นธรรม หรือเปล่า

    อ.วิชัย ก็ต้องเป็น

    ท่านอาจารย์ ทุกอย่างที่มีจริง ให้มีความมั่นคง ให้มีความมั่นใจจริงๆ ว่าเราศึกษาเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ และก็สามารถที่จะเข้าใจขึ้นในความเป็นอนัตตา มิฉะนั้นจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าทุกอย่างอยู่ในตำรา แต่ว่าขณะนี้เรารู้อะไร เราเพียงแต่จะให้มีความเข้าใจที่มั่นคงจริงๆ ในคำว่าธรรม ถ้ากล่าวว่า “โทสะ” ทุกท่านรู้จักใช่ไหม นั่นคือลักษณะของโทสะ แม้ว่าเราจะไม่เอ่ยชื่อเลย ลักษณะของโทสะก็ต่างกับลักษณะของโลภะ ใช่ไหม ความติดข้องกับความไม่ชอบใจ ไม่ต้องการสิ่งนั้น เป็นลักษณะที่มีจริงๆ และก็ต่างกันด้วย สิ่งที่มีจริง จะมีลักษณะเฉพาะอย่างๆ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขบังคับบัญชา หรือว่าสร้างขึ้นมาได้เลย จึงมีอีกคำหนึ่งว่า “ปรมัตถธรรม” เป็นธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตนๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะรู้เมื่อไหร่ รู้เมื่อมีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วปรากฏ นี่คือการกล่าวแบบยาว แต่ถ้าจะกล่าวสั้นๆ ก็คือ “เมื่อปรากฏ” ทุกคนจะต้องโกรธ ขั้นขุ่นใจเล็กๆ น้อยๆ มีไหม โกรธแรงๆ มีไหม ถ้ามีปัจจัยที่จะให้โกรธแรงแล้วขอให้โกรธน้อยลงได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว เป็นแล้วอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นทุกอย่างให้ทราบว่า ไม่มีใครบังคับบัญชาได้เลย ตั้งใจจะไม่โกรธได้ไหม บางท่านฟังเผินอาจจะบอกว่าได้ เพราะว่าเราตั้งใจไว้แล้วว่าเราจะไม่โกรธ ใครมายั่วแหย่ยังไง เราก็จะไม่โกรธ เราก็คิดว่าเราตั้งใจไว้ได้ แต่จริงๆ แล้ว แม้คิดก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และขณะนั้นยังไม่มีปัจจัยพอจะเกิดโกรธ ไม่ใช่หมายความว่าเพราะเราตั้งใจไว้ เป็นเราที่ตั้งใจแล้ว และก็เป็นอย่างที่เราตั้งใจ แต่เพราะเหตุขณะนั้นยังไม่มีปัจจัยพอที่ความโกรธนั้นจะเกิด เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่มั่นคง เข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น ทุกอย่างเกิดตามเหตุตามปัจจัย ก็จะทราบได้เลยว่า ค่อยๆ คลายความเป็นเรา แม้ในขั้นเข้าใจ ก็จะเข้าใจขึ้น ปัญหาต่างๆ ที่คิดว่าความคิดก็เป็นเรา เราคิดไว้ว่าเราจะทำอะไรแล้วก็ทำได้ แต่จริงๆ ขณะที่คิดเกิดแล้วดับ แต่สิ่งใดที่จะเกิดต่อไปก็ตามเหตุตามปัจจัยทั้งนั้น ไม่ใช่หมายความว่าเพราะเราไปวางแผนการแล้วสิ่งนั้นก็เกิดขึ้นตามที่เราคิด เมื่อมีปัจจัยเท่านั้นสิ่งนั้นๆ จึงจะเกิดขึ้นได้ คิดๆ ได้ทุกเรื่อง ใครคิดอยากจะเป็นพระโสดาบัน ก็คิดไป แต่ไม่มีเหตุปัจจัยที่ปัญญาสามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นพระโสดาบัน ความเป็นพระโสดาบันก็มีไม่ได้ จริงๆ แล้วให้มีความมั่นคงว่าเป็นธรรมซึ่งเป็นปรมัตถธรรม ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และก็ทุกอย่างที่จะเกิดเป็นอย่างไร โลภะจะน้อย โทสะจะมาก จะมีความริษยาเกิดขึ้น จะมีความสำคัญตนต่างๆ เกิดขึ้น ในกาลต่างๆ ก็เพราะเหตุว่า มีเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพนั้นๆ ปรากฏเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ก็จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้

    ผู้ฟัง ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่ท่านอาจารย์กล่าวมาทั้งหมด ก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้ตลอดเวลา ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่ใช่กล่าวถึงสิ่งที่ไม่มี

    ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ถามว่า เคยตั้งใจที่จะไม่โกรธไหม เคยตั้งใจไว้บ่อยครั้ง แต่พอพบเหตุการณ์ที่จะทำให้โกรธ ก็โกรธทุกครั้ง ฉะนั้น ธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตาจริงๆ

    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ให้ทราบว่าในขณะใดที่เรากำลังไม่รู้จริงในลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด สภาพธรรมนั้น เกิดแล้วดับแล้ว

    อ.ธิดารัตน์ ธรรมที่ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง มีจริงโดยลักษณะ และก็จะต้องเหมือนกันทุกๆ คนเลย ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เวลานี้เพียงถามว่า เห็นมีไหม ผู้ที่ศึกษาธรรมเป็นผู้ตรง และจริงใจ ไม่บิดเบือน ถ้าคำถามว่า ขณะนี้มีเห็น หรือไม่ จะตอบว่าอย่างไร

    อ.ธีรพันธ์ มีจริง

    ท่านอาจารย์ ก็มีจริง เพราะฉะนั้น คำถามของคุณธิดารัตน์ หมายถึงอย่างไร

    อ.ธีรพันธ์ หมายถึงว่า ธรรม โดยอรรถว่ามีจริง ก็คือมีจริงต่อทุกๆ คน สนทนากันก็ตรงกัน เพราะความเป็นจริงจะไม่เปลี่ยนแปลง จะเป็นลักษณะที่เหมือนกันทุกๆ คน

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะเมื่อครู่นี้ถามว่าเห็นมีไหม ทุกท่านตอบเหมือนกัน เป็นจริงสำหรับทุกคน และที่คุณสำราญกล่าวถึงเมื่อครู่นี้ สิ่งที่มีจริงเป็นชาติไทย หรือชาติฝรั่ง หรือญี่ปุ่น เช่น "เห็น" ขณะนี้ ชาติอะไร นกเห็นเป็นชาติอะไร เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องใช้คำเลย สิ่งที่มีจริง ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย และต่อไปก็จะรู้ว่าการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือเป็นหนึ่งไม่เป็นสอง ที่จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย เช่น “เห็น” เป็นสภาพธรรมที่มีจริง จริงตลอดกาล ในอดีตเห็นไม่เปลี่ยนแปลง “เห็น” ก็คือสามารถที่จะรู้ว่าขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตามีลักษณะอย่างนี้ ทางหูไม่ว่าเสียงในอดีตก็ต้องมีใช่ไหม เสียงเมื่อวานก็มี ตอนเกิดมาก็มีเสียงต่างๆ ลักษณะของเสียงที่ปรากฏก็ต่างๆ กันไป แต่เสียงก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถรู้ได้ทางหู เหมือนกันหมด นกมีหู มีโสตปสาท หรือไม่ โสตปสาท หมายความถึง สภาพของรูปชนิดหนึ่งซึ่งสามารถกระทบเสียงก็คือธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่อ ไม่มีเชื้อชาติ แต่ว่าเป็นสิ่งซึ่งมีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้น ปรากฏให้รู้ว่ามี

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นทุกคนในห้องนี้ ก็มีธรรมปรากฏกับตัวอยู่ตลอด

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง อีกคำหนึ่งก็คือ เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีตัวอีกด้วย

    ผู้ฟัง แต่สภาพที่มีธรรมที่เกิดกับแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ “ เห็น ” เหมือนกัน หรือไม่

    ผู้ฟัง “เห็น“ เหมือนกัน

    ท่านอาจารย์ เป็นประเภทหนึ่งของธรรม

    ผู้ฟัง แต่ขณะที่เกิดขึ้นของแต่ละคน บางคนอาจจะยังโกรธ หรือโลภ หลง

    ท่านอาจารย์ แต่ “ เห็น ” ไม่ใช่โกรธ เพราะฉะนั้นแต่ละอย่างๆ เริ่มละเอียด นี่คือความหมายของคำว่า “อภิธรรม” ธรรมที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดยิ่ง

    ผู้ฟัง เป็นเรื่องละเอียดจริงๆ ที่แต่ละคนก็มีธรรมปรากฏของแต่ละคน แล้วก็ไม่รู้กันว่า อะไรคือธรรมที่ปรากฏกับตัวเอง เช่น ขณะนี้คนอื่นอาจจะร้อน นี่คือ อาจเป็นส่วนที่จะต้องรู้ด้วยตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้วขณะนั้นเราไม่มี แต่มีลักษณะร้อนที่ปรากฏ กับสภาพที่รู้ร้อน เหมือนกับขณะนี้เราไม่มี แต่มีเสียงปรากฏกับสภาพที่ได้ยินเสียง คนก็ไม่มี แต่มีสภาพที่กำลังปรากฏทางตา กับจิตเห็น หรือว่าสภาพที่สามารถเห็นว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างนี้

    อ.ธิดารัตน์ ความยึดถือว่าเป็นตัวเรา ตรงนี้ก็มีจริง

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เป็นอกุศล ต่อไปจะทราบว่าสิ่งใดที่มี ต้องมีจริงแน่นอน ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา มีจริง ต้องยอมรับว่ามี แล้วก็เป็นธรรมด้วย แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรมประเภทไหน เพราะว่าวันนี้ เราเพียงแต่ว่าให้เข้าใจว่าทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรมซึ่งใครไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงลักษณะได้เลย โดยชื่อใช้คำว่า “ปรมัตถธรรม” และก็จะได้ยินคำว่า “อภิธรรม” ด้วย หมายความถึงเป็นธรรมที่ละเอียดยิ่งที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง ที่จะให้เห็นถึงความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ

    ผู้ฟัง คำว่า “อภิธรรม” อยู่ในตัวเรา กายที่เป็นรูป ที่เป็นส่วนที่เป็นกาย และใจ ก็คือ อภิธรรม ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีผู้ปฏิเสธคำว่า "อภิธรรม"

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจธรรม ผู้นั้นจะปฏิเสธไม่ได้เลย แต่เพราะไม่เข้าใจธรรมจึงปฏิเสธว่าไม่มีอภิธรรม แต่ถ้าเข้าใจธรรมแล้ว ธรรมเป็นอภิธรรม มีความละเอียดมากมายที่ผู้ตรัสรู้ทรงแสดงความละเอียดของสภาพธรรมนั้นๆ ที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้น แต่ไม่ปรากฏลักษณะที่แท้จริงกับผู้ไม่รู้ จึงกล่าวว่าไม่มีอภิธรรม

    ผู้ฟัง ฉะนั้นพื้นฐานที่เราควรจะทราบ ควรจะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ทราบว่า สิ่งที่มี มีจริงๆ จะใช้คำอะไร หรือไม่ใช้คำอะไร สิ่งที่มีจริงก็ปฏิเสธไม่ได้ และสิ่งที่มีนั้น ใครรู้ และใครไม่รู้ ถ้าคนไม่รู้ก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป ก็มีความทรงจำสืบต่อว่าเป็นเรา ธรรมก็ไม่รู้จักว่าอยู่ที่ไหน แต่ว่าผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงก็สามารถประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมแต่ละลักษณะที่มีจริงๆ

    ผู้ฟัง ในความรู้สึกของดิฉัน ขณะไหนที่ห่างจากพระธรรม ขณะนั้นก็จะเป็นไปกับรูป เสียง กลิ่น รส เมื่อมีใครพูดอะไร บางทีความมั่นคงของเรายังไม่พอ ก็จะคล้อยตาม เพราะฉะนั้นดิฉันว่า ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมาก ใช่ หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ขณะนั้นที่เป็นไปกับเรื่องราวต่างๆ เป็นธรรม หรือเปล่า

    ผู้ฟัง เป็นธรรม แต่ขณะนั้นเราหลงลืมสติ

    ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้น เราจะไม่รู้จักธรรมโดยเพียงชื่อ หรือว่าคิดเรื่องราว แต่ว่าต้องรู้ตัวจริงๆ ของธรรมว่าแม้ขณะที่คิด เป็นไปกับความสนุกสนานเพลิดเพลินก็เป็นธรรม ทรงแสดงไว้โดยละเอียดว่า เป็นธรรมประเภทไหน จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม

    คุณสำราญก็เห็นความจริง หรือไม่ว่า เวลาที่ได้ยินได้ฟังธรรมก็เกิดความเข้าใจ ความเข้าใจจะเกิดขึ้นมาเองคงไม่ได้ ใช่ไหม ต้องอาศัยการฟัง การพิจารณาไตร่ตรอง และเวลาที่ไปที่อื่น และก็มีเรื่องราวต่างๆ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ความเข้าใจเรื่องธรรมก็หายไป ขณะนั้นไม่ได้คิดถึงว่าเป็นธรรมเลย ทั้งๆ ที่ได้ยินได้ฟังว่าเป็นธรรม แต่ตามความเป็นจริงก็เทียบส่วนได้กับการที่ได้ยินธรรมน้อย หรือมากกว่าชีวิตประจำวัน ซึ่งเคยเป็นมาแล้วในสังสารวัฏฏ์

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ว่าจะได้ยินวันหนึ่งๆ บางท่านก็อาจจะได้ยินบ่อยมาก อาจจะตั้งแต่ เวลาเช้า ๐๔.๓๐น. ๐๕.๐๐น หรือ ๐๖.๐๐น.ก็แล้วแต่ ขณะนั้นก็มีความเข้าใจ แต่หลังจากนั้นแล้ว ก็เป็นโอกาส หรือเป็นปัจจัยของสิ่งที่สั่งสมมานานแสนนาน ที่จะต้องเป็นการไม่นึกถึงธรรม เพราะว่ามีเรื่องอื่นที่ปรากฏให้จำ ให้คิด และก็ปรุงแต่งให้เหมือนเคย คือเป็นความไม่รู้ในลักษณะของสิ่งนั้นต่อไป

    เพราะฉะนั้น จึงปรากฏว่า แต่ละบุคคลซึ่งจากความเป็นปุถุชน สู่ความเป็นพระอริยบุคคลนั้น ไม่เร็ว แต่เป็นจิรกาลภาวนา หมายความว่าต้องเป็นการอบรมจริงๆ เป็นความตรงต่อธรรม ต้องเป็นสัจจะจริงๆ ว่าเรามีความเข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏระดับไหน แค่ไหน ขณะนี้เราไม่ได้เห็นผิดจากการฟัง มีความรู้ความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรม แค่ฟัง แต่ตัวจริงของธรรมที่กำลังเห็น ไม่ใช่เมื่อฟังอย่างนี้แล้วจะรู้ลักษณะที่เห็น ความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน แต่ยังจะต้องมีการที่รู้ความต่างของความรู้ขั้นฟัง และก็ขั้นคิด กับการที่เริ่มเห็นตัวจริงของธรรม ในขณะที่สภาพธรรมแต่ละอย่างปรากฏให้เห็น ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่ใช่ระดับเพียงขั้นที่กำลังฟังเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงๆ เราก็เริ่มเห็นว่า เราเป็นอย่างไร เทียบส่วนกับผู้ที่ได้ฟังมามาก หรือว่าผู้ที่ได้เป็นพระอริยบุคคลแล้ว แต่ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลมี ไม่ใช่ไม่มี จากกาลครั้งหนึ่งซึ่งท่านก็เป็นปุถุชน ชีวิตของท่านที่เป็นสาวก ก็มีชีวิตที่เป็นไปตามการสะสม บางท่านก็น่าอัศจรรย์ว่า ทำไมชีวิตของท่านช่างแปลกอย่างนั้น เช่น พระเถรีท่านหนึ่งในอดีต ท่านก็มีสามี และไม่เป็นที่รักของสามีเลย ไม่ว่ากี่คน น่าคิดไหมว่า ทำไมชีวิตของแต่ละคนถึงได้แตกต่าง ซึ่งไม่มีใครสามารถจะสร้างจะทำได้ หรือแม้แต่ชีวิตของเราเอง ตั้งแต่เด็กมา เราเคยคิดไหมว่าจะมีวันนี้ ที่มีความสนใจพระธรรม และก็มีการศึกษามีการพยายามที่จะเข้าใจพระธรรม ตอนเป็นเด็กทุกคนสนุกสนานมาก อยู่โรงเรียนมีเพื่อนเล่น เคยคิดไหมว่าจะมีโอกาสได้ฟังสิ่งซึ่งคนเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปี ได้ฟังจากพระโอษฐ์ และก็เมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีเราอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยเกิดเลย

    การที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรมเป็นการสะสมของบุญ คือการได้เคยฟังมาแล้วในอดีต จะมาก หรือจะน้อยขึ้นอยู่กับความเข้าใจธรรมที่ได้ยินได้ฟัง แต่อัธยาศัย หรือฉันทะที่ทำให้ฟัง ก็ต่างกับอัธยาศัย หรือฉันทะของคนที่ไม่สนใจที่จะฟังเลย แม้ว่าจะเป็นญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อนฝูงซึ่งเป็นที่รักใกล้ชิด ก็บังคับไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้วโลกคนละใบ นี่แน่นอนที่สุด เกิดขึ้นคนเดียว มีใครเกิดร่วมด้วยในขณะนั้น หรือไม่ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เห็นคนเดียว หรือเปล่า นี่กล่าวโดยความเข้าใจทั่วๆ ไปซึ่งยังไม่กล่าวถึงธรรมแต่ละชนิด ขณะที่กำลังเห็น มีใครมาร่วมเห็นในขณะที่จิตเห็นนี้กำลังเกิด หรือไม่ หรือขณะที่กำลังคิด มีใครมาร่วมคิดในจิตนั้นที่กำลังคิด หรือไม่ ก็ไม่มีเลย

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ยิ่งศึกษายิ่งเห็นว่า ขณะจิตหนึ่งก็คือโลกขณะหนึ่ง ซึ่งแต่ละคนก็เป็นโลกแต่ละใบ เต็มไปด้วยความคิดถึงสิ่งที่กำลังกระทบตา จำไว้มากมาย เรื่องราวต่างๆ

    ฟังธรรมจากหัวข้อย่อย

    หมายเลข 135
    3 ม.ค. 2567

    ซีดีแนะนำ