ทุกข์ที่แท้จริง ๒


    ท่านอาจารย์ ถ้ามีใครถามท่านผู้ฟังเวลานี้ว่า เป็นทุกข์ไหม ก็คงจะตอบได้ ใช่ไหมคะ คือทราบว่าเป็นทุกข์อยู่ทุกขณะที่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วดับไป แต่ว่าไม่ประจักษ์

    นี่คือความต่างกันของผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลและผู้ที่เป็นปุถุชน ผู้ที่ยังไม่ใช่เป็นพระอริยบุคคล เพราะเหตุว่าทราบโดยการฟัง ว่าสังขารธรรมทั้งหลายในขณะนี้  เกิดขึ้นแล้วดับไป ใครถามตอบได้แน่ ๆ แต่ว่าแม้พระภิกษุในครั้งพระพุทธกาล เวลาที่ถูกพวกเดียรถีย์ถาม ว่าท่านบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเพื่ออะไร ท่านเหล่านั้นตอบว่าเพื่อเห็นทุกข์ แสดงว่าให้เห็นว่า อวิชชาไม่สามารถจะเห็นทุกขลักษณะ ต้องเป็นปัญญาจึงจะเห็นได้

    เพราะฉะนั้นเพียงขั้นการฟัง ว่าขณะนี้สังขารธรรมทั้งหลายกำลังเกิดดับ  ก็ฟัง แล้วก็เวลาที่ระลึกรู้ลักษณะที่กำลังอ่อนหรือแข็ง เพียงชั่วขณะที่อ่อนหรือแข็งปรากฏ ก็มีหลักแล้วว่า ขณะนั้นถ้ายังคิดว่า เป็นเราที่กำลังกระทบแข็ง เป็นเรา  ตัวเราที่กำลังนั่งแล้วกระทบแข็ง ขณะนั้นต้องเป็นอัตตสัญญา ไม่ใช่อนัตตสัญญา แต่บางคนไม่ได้นึกถึงรูปร่างที่กำลังนั่ง หรือกำลังยืน กำลังนอน กำลังเดิน  พอแข็งปรากฏ สามารถที่จะรู้ตรงนั้น  แล้วก็ลืมเรื่องอื่น ไม่ได้คิดว่าเป็นเราที่กำลังนั่ง หรือนอน หรือยืน หรือเดิน มีแต่ลักษณะที่แข็งที่กำลังปรากฏ ธรรมดาทุกคนก็กระทบแข็งอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เคยที่จะพิจารณาว่า ขณะนั้นมีลักษณะที่กำลังรู้แข็ง แข็งจึงปรากฏ ซึ่งลักษณะที่รู้แข็ง ไม่ใช่แข็ง แข็งคือแข็ง แต่เวลาที่บอกว่าแข็ง หมายความว่าต้องมีสภาพที่กำลังรู้แข็ง

    เพราะฉะนั้นลักษณะที่รู้แข็ง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง  แต่ก่อนนี้เคยเป็นเรา แต่เวลาที่ฟังเรื่องของการเจริญสติปัฏฐาน เพื่อละอวิชชา อย่าลืมว่า เพื่อละอวิชชา ซึ่งไม่เคยรู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน

    เพราะฉะนั้นวิชชาไม่ใช่รู้ตอนอื่น แต่รู้ในขณะที่กำลังเห็น แล้วก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ธาตุเห็น สภาพที่กำลังเห็น  ไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้ ไม่ใช่คนตาย อาการนี้เป็นอาการรู้ชนิดหนึ่ง คือ เป็นสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้ตามปกติ  ค่อยๆ รู้ขึ้นในขณะที่กำลังเห็น อย่าหวังว่า จะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่คน ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่โต๊ะเก้าอี้อีกต่อไป  แต่หมายความว่ากำลังเริ่มที่จะเข้าใจตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏ ลักษณะแท้ๆ คืออย่างนี้ ไม่ว่าจะดูโทรทัศน์ กำลังนึกเป็นเรื่องเป็นราว เป็นละคร ชื่อนั้นชื่อนี้กำลังทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ไม่ต่างกับกำลังเห็นเดี๋ยวนี้แล้วนึกไปต่างๆนาๆ

    เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะรู้ความต่างกันของโลกทางตาที่ปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ เพียงชั่วขณะที่เห็น   แล้วโลกของความคิดนึก ซึ่งจะต้องแยกออก  ระหว่างทางตาที่เห็นแล้วก็คิดนึก ทางหูที่ได้ยินแล้วก็คิดนึก จนกระทั่งสามารถที่จะไม่เชื่อมโยงสภาพธรรมที่เคยเชื่อมโยงกันทั้งหมดว่า เป็นเรา คอยเอามาต่ออยู่เสมอ  ว่าเป็นเราขณะนั้น ขณะนี้ แต่ว่าถ้าสามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นจริงๆ จะค่อยๆ คลายการที่จะเอามาโยงไว้ว่า เป็นเรา

    เพราะฉะนั้นลักษณะของสภาพธรรมจะค่อยๆ ปรากฏตามความเป็นจริง เมื่อนั้นจึงจะปรากฏลักษณะที่เป็นทุกข์  ซึ่งลักษณะที่เป็นทุกข์ต้องเกิดขึ้นและดับไป ถ้ายังไม่ใช่การเกิดดับ ยังไม่ใช่ทุกขลักษณะ เพราะเหตุว่าทุกขลักษณะนั้นเป็นลักษณะหนึ่งในไตรลักษณะ ไม่ใช่ลักษณะเดียว  ใช้คำว่า ติลักขณะ หรือว่าไตรลักษณะ  หมายความถึงลักษณะทั้ง  ๓ คือ ลักษณะที่เกิดขึ้นและดับไปนั่นแหละเป็นทุกข์ ทุกข์ในที่นี้หมายความว่าไม่มีอะไรที่จะน่ายินดีกับสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วหมดสูญไป   แล้วก็มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นปรากฏ แล้วหมดอีก

    เพราะฉะนั้นก็เป็นความว่างจากการที่ไม่สามารถจะมีสิ่งใดที่จะยึดถือว่า เป็นเราหรือเป็นของเราได้จริงๆ  นี่คือการที่จะประจักษ์ทุกขลักษณะ ซึ่งต้องมีอนิจจลักษณะปรากฏให้รู้ในสภาพว่า ธรรมนั้นเกิดแล้วดับจึงเป็นสภาพที่เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง และเป็นอนัตตา ลักษณะทั้ง ๓ นี้ต้องพร้อมกัน

    เพราะฉะนั้นถ้าจะสรุปอีกที  ทุกขเวทนา คือ ทุกข์กาย ป่วยไข้ได้เจ็บ หิว ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ แต่ก็ยังเป็นตัวตนสำหรับผู้ที่ไม่ได้อบรมปัญญา ก็จะมีแต่อวิชชา ซึ่งไม่รู้ความจริงว่า แม้ขณะนั้นทุกขเวทนาก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป นอกจากทุกขเวทนาแล้วสภาพธรรมอื่นที่ไม่ใช่ทุกขเวทนาก็เป็นทุกข์ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ สังขารธรรมทั้งหลายต้องมีไตรลักษณะ คือ ลักษณะทั้ง ๓ เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา  ผู้ใดประจักษ์แจ้งสภาพธรรม คือ อาการของสังขารธรรมที่เกิดดับเป็นไตรลักษณะ  ก็จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน จนในที่สุดสามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของนิพพานธาตุ สามารถที่จะดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน ผู้นั้นก็รู้ว่าทุกข์นั้นเป็นทุกขอริยสัจจะ สำหรับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลได้ประจักษ์แจ้ง และเมื่อได้ประจักษ์แจ้งลักษณะนั้นแล้วก็เป็นพระอริยบุคคล แต่ถ้ายังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง ย่อมไม่สามารถที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้

    เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าทุกข์มีจริง กำลังเกิดดับอยู่ อวิชชาไม่รู้ ต้องค่อยๆอบรมเจริญปัญญา จนกว่าจะค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์ไตรลักษณะ คือสภาพที่เป็นทุกข์   และเมื่อถึงความเป็นอริยบุคคล ก็รู้ว่าทุกขลักษณะนั้นเป็นลักษณะที่เป็นอริยสัจจะสำหรับผู้ที่เป็นพระอริยบุคคลที่ได้ประจักษ์แล้ว


    หมายเลข 8727
    11 ก.ย. 2558