รักษาจิตในอาสวะ


    เมื่อมีการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การคิดนึกเมื่อไร เมื่อนั้นอนุสัยกิเลสก็มีปัจจัยที่จะทำให้อกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับจิตขณะใด ขณะนั้นเป็นกิเลสซึ่งใครรู้ เช่น ทางตากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ รูปยังไม่ดับ จิตเห็นดับแล้ว และจิตที่เกิดสืบต่อก็ดับ แต่ก็ยังมีอกุศลเกิดสืบต่อในขณะที่รูปยังไม่ดับ เพราะว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจึงดับ เพราะฉะนั้นขณะนี้เอง ยังไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น อกุศลก็เกิดแล้ว เป็นอาสวะ

    เพราะฉะนั้นต้องรู้จักด้วยว่า จะดับหรือจะรักษา จะรักษาอย่างไร จะไปรักษาอาสวะแบบไหน รักษาให้มีมากๆ หรือเปล่าคะ ก็ไม่ใช่ แต่รักษาจิตให้พ้นจากอาสวะ เพราะเหตุว่าการจะรักษาจิตให้พ้นจากอาสวะได้ ก็โดยต้องดับอนุสัยกิเลส เพราะเหตุว่าถ้าตราบใดยังมีอนุสัยกิเลสอยู่ ไม่มีใครรู้เลย ไม่รอดจากอกุศลทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ละวาระมากมายแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมเพื่อความไม่ประมาทที่จะรู้ว่า ชาติหน้าจะเป็นใคร ชาตินี้ชัดเจน เป็นคนนี้ ไม่เป็นคนอื่นเลยตามกรรมที่ได้สะสมมา แล้วสิ่งที่เกิดหลังจากปฏิสนธิเป็นปวัตติ ก็แล้วแต่กรรมใดจะให้ผล จากกุศลกรรมก็เป็นอกุศลกรรม ทางกายบ้าง ทางจมูกบ้าง ก็ได้ทั้งนั้น ชาตินี้รู้ว่าเป็นอย่างนี้ แต่ชาติหน้าจะเป็นใคร คิดบ้างไหมคะ คิดไม่ออกแน่ๆ เพราะยังไม่เกิดขึ้น แต่เหตุมีแล้ว เพราะฉะนั้นสำคัญที่เหตุ เมื่อเหตุมี ผลต้องมีแน่นอน

    เพราะฉะนั้นแทนที่จะคิดถึงชาตินี้ เราเป็นใคร เราทำอะไร เพราะชัดเจน แต่ชาติหน้าจะเป็นใคร ก็คือตามกรรมที่ได้สะสมไว้ แล้วเมื่อปฏิสนธิจิตเกิดต่อจากจุติจิตของชาตินี้ แล้วก็เป็นภวังค์สืบต่อ พอมีการรู้อารมณ์เมื่อไร อาสวะก็เกิด เราไม่รู้เลย แต่ก็มี

    ด้วยเหตุนี้ การที่จะรักษาจิตจากอาสวะ หรือใช้คำว่า ในอาสวะ ก็คือว่า มีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ถ้าไม่มีปัญญาแล้วอะไรจะรักษาเรา จะเกิดเป็นอะไรคะ ชาติหน้า ไม่มีทางเลย และเวลานี้ที่กำลังเห็น รักษาหรือเปล่า ถ้ารักษา หมายความว่า ขณะนั้นอกุศลไม่เกิด อาสวะไม่เกิด แต่ขณะนี้เป็นอย่างนั้นหรือยัง ถ้ายัง มีหนทางที่จะเป็นอย่างนั้นไหม ถ้าอบรมเจริญปัญญา ก็สามารถเป็นอย่างนั้นได้ แต่ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่มีทางเลย จมแน่ เพราะว่าหนักด้วยอกุศล ไม่ถึงฝั่งนิพพาน เพราะฉะนั้นมีข้อความที่ว่า “วิดน้ำออกจากเรือ” ก็คือจิตที่มากด้วยอกุศล ไม่ควรจะสะสมอกุศลต่อไป แต่ว่าทุกอย่างก็เป็นอนัตตา

    ด้วยเหตุนี้ปัญญาจึงเป็นเลิศในบรรดาธรรมทั้งหลาย ที่เป็นสังขารธรรม


    หมายเลข 8379
    18 ก.พ. 2567