อารมณ์คือที่ตั้งของสติ
ถาม การระลึกได้เกิดขึ้นจากการสะสมการฟังธรรม จากการฟังว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเป็นสิ่งที่รับรู้ ตาก็รับรู้สี หูก็เสียง จมูกก็กลิ่น ค่อยๆสะสมไปจนกระทั่ง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
ผู้ฟัง
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นสติปัฏฐาน คนนั้นก็เข้าใจ ที่ใช้คำว่า “สติปัฏฐาน” เมื่อไร มีลักษณะอย่างไร ก็ปรากฏกับคนนั้นขณะที่สติเกิด ขณะที่สติปัฏฐานเกิด รู้เลยว่า นั่นคือความหมาย อรรถของสติปัฏฐาน เป็นหนทางที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยบุคคลทั้งหลายดำเนิน ถ้าไม่อาศัยสติที่กำลังเกิด กำลังระลึก จะไม่มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมใดๆทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าทุกอย่างเป็นธรรม แต่ที่จะรู้ว่าเป็นธรรมก็ต่อเมื่อสติระลึก แล้วปัญญาค่อยๆเข้าใจขึ้น
ต่อไปใครพูดเรื่องสติปัฏฐาน เรารู้ความหมายจริงๆ ๓ ความหมาย ถ้าบอกว่า สติปัฏฐาน ๔ โดยแยกอารมณ์ กาย เวทนา จิต ธรรม
สติปัฏฐาน ๓ คือ ๑. หมายถึงอารมณ์ คือ ที่ตั้งที่สติระลึก คือ ปรมัตถธรรม และตัวสติเองก็เป็นสติปัฏฐาน เพราะไม่ใช่สติขั้นทาน ศีล แล้วก็เป็นสติที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยะทั้งหลายเดิน
เราจะลืมไหมคะในเมื่อสภาพธรรมนั้นเกิด และเราเข้าใจถูกต้องว่า มีทั้งตั้งที่สติระลึก ที่ตั้งนั้นเป็นสติปัฏฐาน ตัวอารมณ์เป็นที่ตั้งของสติ และตัวสติก็เป็นสติปัฏฐาน และหนทางนี้ก็เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ปัญญาประจักษ์ความจริงของสภาพธรรมทั้งหลาย
ศึกษาอย่างนี้จะไม่มีวันลืมความหมาย ไม่ต้องไปท่องด้วย และก็เข้าใจชัดเจน ใครจะพูดเรื่องสติปัฏฐาน แต่เขาไม่รู้ เพราะสติปัฏฐานไม่เกิด ใช่ไหมคะ เขาก็ไม่สามารถรู้ว่า ตอนที่สติปัฏฐานเกิดคืออย่างนี้ ตรงนี้ ธรรมดาอย่างนี้ และปัญญาที่จะเพิ่มขึ้น ก็คือรู้ขึ้น ค่อยๆรู้ขึ้นในความต่างของนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งขณะนั้นมีจริงๆ แต่เคยเป็นเรา และเคยเป็นความไม่รู้ เพราะว่าผ่านไปเลย พอระลึก เกือบจะไม่มีการระลึกเลย พอปรากฏก็หมดไปๆ
เพราะฉะนั้นทุกอย่างมี เมื่อเกิดขึ้นปรากฏ แล้วหมดไป ก็ไม่ได้ประจักษ์ความหมดไป เมื่อสติปัฏฐานไม่เกิด
เพราะฉะนั้นเราก็จะอยู่ในโลกของความทรงจำที่เป็นอัตตสัญญา จำว่าเป็นคน เป็นสัตว์ เป็นวัตถุที่เที่ยงตลอดชีวิต กี่ภพ กี่ชาติจนกว่าจะได้ฟังพระธรรม และมีความเข้าใจถูก แล้วเริ่มสติปัฏฐานเมื่อไร เราถึงจะรู้ว่าเป็นธรรม ค่อยๆ เข้าใจขึ้น