เหลือเพียงสิ่งที่ปรากฎ
ถาม รู้สึกว่าโลภะจะละเอียดตามเราขึ้นไป โดยรู้สึกว่านำหน้าเราอยู่ตลอดเวลา
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นก็คือสภาพธรรมทั้งหมด ซึ่งปรากฏสั้นๆ เล็กๆนิดเดียว ถ้าจะอุปมาเหมือนกับเราอยู่ในความมืดสนิท และมีปสาท ๕ แห่ง แต่ทางกายซึมซาบอยู่ทั่วตัว แต่เวลาปรากฏจะไม่มีทั้งตัว เฉพาะตรงที่ปรากฏเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นการเพิกอิริยาบถซึ่งมันไม่มี เพราะว่าจิตจะเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แล้วก็รู้เฉพาะสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างขณะที่กำลังนั่ง ทุกคนเห็น ปอดปรากฏไหม หัวใจปรากฏไหม เลือด เนื้อ ฟัน แขน เท้าปรากฏไหม ไม่ปรากฏนะคะ และแม้อ่อนหรือแข็งยังไม่ปรากฏในขณะที่จิตกำลังเห็น
นี่คือความรวดเร็ว นี่คือความที่จะไม่มีตัวตนเลย ตัวตนซึ่งใหญ่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จะสูงกี่ฟุตก็แล้วแต่ แต่เวลาที่จะไม่มีตัวตน จะไม่มีเหลือเลย ไม่มีจริงๆ ขณะนี้คือความจริง แต่ปัญญาไม่ได้ประจักษ์ เพียงแต่กำลังคิดว่าจริง ขณะนี้ไม่มีอะไรปรากฏถ้าเห็น ก็มีแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าได้ยินก็เฉพาะเสียง อย่างอื่นจะมารวมอยู่ตรงจิตที่กำลังรู้เสียงนี่ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นจากเราทั้งตัว ความจริงก็เหลือนิดเดียว คือ เฉพาะสิ่งที่ปรากฏ เมื่อนั้นถึงจะทำลายความเป็นตัวตนที่รวมอยู่ทั้งตา หู จมูก ลิ้น แขน ขา ศีรษะ ผม เท้า อะไรทั้งหมด ซึ่งเป็นความทรงจำ แต่นี่เป็นอัตตสัญญา เพราะทรงจำ ถ้าเป็นอนัตตา เขาก็เริ่มทรงจำสภาพที่ไม่มีตัวตน แต่มีลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมที่สติกำลังระลึก และเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาที่เป็นวิปัสสนาญาณประจักษ์หมดเลย ไม่มีเหลือ เหลือแต่เฉพาะสภาพที่เป็นธาตุรู้กับสิ่งที่ถูกรู้เท่านั้น จึงจะเห็นว่า นั่นคือไม่มีเรา ไม่ใช่ขั้นคิด ไม่ใช่ขั้นพิจารณาไตร่ตรอง แต่เป็นขั้นที่สภาพนั้นปรากฏให้เห็นความจริงว่าเป็นอย่างนั้น เป็นจุดตั้งต้นของอนัตตสัญญา ซึ่งจะต้องพิจารณานามรูปต่อไปอีก ต่อไปอีก ต่อไปอีก เพราะกิเลสมากมายเหลือเกิน