ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ


    ถาม   ...

    ท่านอาจารย์    เป็นเรื่องนี่ค่ะ ไม่ได้เป็นตัวพระธรรม ธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ ขณะนี้ทางตาที่กำลังเห็นเป็นธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาก็เป็นธรรม ทีนี้ถ้าเราคิดเรื่องธรรม เช่น สภาพธรรมที่รู้เป็นจิต หรือธรรมมี ๒ อย่าง คือ โลกียะกับโลกุตตระ นั่นเป็นจิตที่คิดคิด แต่เรื่องเป็นเรื่องราว ไม่ใช่ตัวโลกียะหรือโลกุตตระกำลังเป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้น

    อย่างเราบอกว่า “นิพพานมีจริง” เราพูดคำนี้ “นิพพานมีจริง” จิตที่คิดคำว่า “นิพ”  จิตที่คิดคำว่า “พาน”  จิตที่คิดคำว่า “มี” จิตที่คิดคำว่า “จริง” โต๊ะเก้าอี้คิดไม่ได้เลย ใช่ไหมคะ แต่คนคือสภาพที่เป็นจิต สามารถคิด ขณะที่คิดคำว่า “นิพ” นิพอยู่ที่ไหน นิพไม่มี “พาน” พานอยู่ที่ไหน พานก็ไม่มี แต่จิตคิดคำว่า “นิพ” ได้ จิตคิดคำว่า “พาน” ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานเป็นแต่เพียงคำ เป็นเรื่องราว ไม่ใช่ลักษณะของนิพพานจริงๆ ซึ่งโลกุตตรจิตกำลังประจักษ์แจ้ง

    นิพพานเป็นปรมัตถธรรม แต่คำว่า “นิพพาน”  ไม่ใช่ปรมัตถธรรม คำว่า “นิพพาน” เป็นเพียงแต่ชื่อ หรือคำที่ใช้แทนสภาพธรรมนั้น ในเมื่อสภาพธรรมนั้นไม่ได้ปรากฏ

    ผู้ฟัง ส่วนมากที่เราจะคิดได้ก็เป็นจากสัญญา ถูกไหมคะ

    ท่านอาจารย์    แน่นอนค่ะ ในขณะที่กำลังมี อย่างเสียง จริงขณะไหน ขณะที่กำลังได้ยิน พอเสียงหมดแล้ว ได้ยินหมดแล้ว แล้วเราจะบอกว่า จริงได้อย่างไร ในเมื่อหมดแล้ว สภาพที่คิดมีจริงๆ แต่เรื่องราวที่คิดไม่จริง

    ผู้ฟัง ขณะนั้นใช่ไหมคะ

    ท่านอาจารย์    ขณะที่กำลังคิด จิตคิดมีจริง การคิดมีจริง แต่เรื่องราวที่คิดไม่มีจริง คิดถึงพัดลมก็ได้ คิดถึงพิมพ์ดีดก็ได้ คิดถึงแจกันก็ได้ คิดถึงดอกกุหลาบก็ได้ เป็นเพียงคิดถึง ไม่ใช่ปรากฏจริงๆ แต่สิ่งที่จริง คือ ขณะนั้นจิตกำลังคิด สิ่งที่ปรากฏทางตามีจริง แล้วเราคิดถึงรูปร่าง

    เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนาแยกละเอียดมาก ย่อยเหตุการณ์ทั้งเหตุการณ์ออกไปเป็นชั่วจิตทีละขณะเดียว ลองคิดดูว่า จิตทีละขณะหนึ่งเร็วกว่าเสี้ยววินาทีสักแค่ไหน ที่แบ่งจากชั่วโมง เป็นนาที เป็นวินาที เราแบ่งได้ แล้วเราก็ยังสามารถแบ่งละเอียดออกไปเป็นเสี้ยววินาที แต่จิตก็เกิดดับเร็วยิ่งกว่านั้น มากกว่านั้น

    เพราะฉะนั้นจากทางตาที่เห็น เราจะจำทันทีว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร อยู่ในความทรงจำของเราเหมือนเห็นน้ำไหล เห็นเก้าอี้ เห็นคน แต่ความจริงขณะนั้นให้ทราบว่า เห็นไม่ใช่คิด

    นี่เป็นสิ่งที่จะต้องแยกออกว่า เห็นนั้นกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา สั้นมาก เร็วมาก หลังจากนั้นแล้วจะจำลักษณะ สีสันต่างๆที่เห็น แล้วก็คิดทันทีว่า เป็นคนนั้นคนนี้ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเห็นเป็นเก้าอี้ ขณะนั้นคือคิดถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏทางตา

    นี่กำลังจะแยกชีวิตในวันหนึ่งๆ ซึ่งเป็นเรา ออกให้เห็นว่า รวดเร็วมาก แล้วจิตแต่ละขณะก็เกิดขึ้นทำกิจการงานแต่ละอย่าง

    ผู้ฟัง ยาก

    ท่านอาจารย์    ยากค่ะ เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องยาก ใครอย่าคิดว่าเป็นเรื่องง่าย ต้องค่อยๆฟัง ค่อยๆเข้าใจ แล้วต้องทราบด้วยว่า คนที่จะอดทนฟังให้เข้าใจ จนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเองนั้นไม่มีมาก จำนวนน้อยทีเดียว อย่างคนที่ประเทศอินเดียสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพานก็มีเป็นจำนวนมาก แต่คนที่ฟังพระธรรมมีจำนวนเท่าไร แม้ว่าจะมากมายกว่าในสมัยนี้ เพราะเหตุว่าเมื่อได้ฟังแล้วก็สามารถรู้แจ้งเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไปถึงขั้นพระอรหันต์ มีมากกว่าในครั้งนี้มากมายนัก แต่ถ้าเทียบจำนวนของคนทั้งหมด ก็ยังเป็นส่วนที่ไม่มาก

    เพราะฉะนั้นยิ่งในยุคนี้สมัยนี้ ถ้าใครไม่เคยสะสมบุญเก่าที่จะเห็นประโยชน์ของปัญญา เห็นประโยชน์ว่าเราเกิดมาแล้ว เราไม่เคยรู้จักตัวเอง ไม่เคยรู้จักโลก มีความยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทั้งๆที่ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมดไปทุกขณะ อย่างได้ยินขณะนี้ เป็นเราได้ยิน ก็หมดไปแล้วชั่วขณะหนึ่ง กำลังคิดนึกว่าเป็นเราคิด ลักษณะที่คิดนั้นก็หมดไปอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้นตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกอย่างกำลังเกิดดับ หมดไป โดยไม่มีการรู้สึกตัวเลย มีแต่สัญญา ความทรงจำว่า เป็นคน เป็นสัตว์ ปิดบังสภาพธรรมที่กำลังเกิดดับ ทำให้เราไม่สามารถประจักษ์อนัตตา คือ สภาพธรรมที่เป็นธรรม แต่ไม่ใช่ของใคร เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปตลอดเวลา


    หมายเลข 8128
    7 ก.ย. 2558