สงสัยว่าเป็นพระปลอม


    ผู้ฟัง สงสัยว่าเป็นพระปลอม แต่เราก็ทำบุญ จะได้กุศลไหม

    ท่านอาจารย์    ถ้าจิตน้อมนึกถึงพระรัตนตรัยเป็นกุศลในขณะนั้น ขณะที่คิดว่าเป็นพระปลอม ขณะนั้นเป็นอกุศล สภาพของจิตละเอียดมาก ให้ทราบว่า จิตเกิดแล้วก็ดับ จิตที่เป็นกุศล จะเป็นอกุศลไม่ได้ ปะปนกันไม่ได้เลย ขณะจิตหนึ่งเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น จิตเกิดขึ้นเป็นกุศลก็เป็นกุศล จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศลก็เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้นขณะที่ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ขณะนั้นเป็นกุศล ขณะที่คิดถึงพระปลอม ขณะนั้นเป็นอกุศล

    ผู้ฟัง แต่ว่าเราสงสัย นี่ก็อกุศล

    ท่านอาจารย์    สงสัยก็เป็นอกุศลค่ะ

    ผู้ฟัง ถ้าเราไม่สงสัยเลย ก็ทำบุญให้เขาเลย

    ท่านอาจารย์ ไม่สงสัย แล้วเป็นโลภะ เป็นโทสะหรือเปล่า เราต้องอย่าลืมว่า อกุศลมีหลายอย่าง ไม่ใช่มีอย่างเดียว เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้ชัดว่า อะไรเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ก็คือขณะใดเป็นไปในทาน จิตสละวัตถุเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น ขณะนั้นชั่วขณะนั้นเกิดขึ้นเป็นกุศล แต่ขณะที่ไปหาสิ่งสวยๆ งามๆมาให้เป็นทาน ขณะนั้นต้องระวังนะคะ เพราะชอบในสิ่งที่สวยงามนั้นขณะใด ขณะนั้นก็เป็นอกุศลแล้ว

    เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า กุศลและอกุศล หรือจิตทุกชนิดเกิดดับเร็วมาก ต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์จริงๆ จึงสามารถรู้ได้ว่า จิตที่เกิดในขณะนั้นเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล

    ศุกล  สมมติมีผู้บริจาคทรัพย์กับพระภิกษุ ในความคิดก็ยังว่าจะเป็นพระจริงหรือเปล่า แต่ท่านก็ได้มาบอกความประสงค์ และได้ให้สิ่งที่ท่านต้องการ คือ ปัจจัยไปแล้ว แต่เมื่อให้ไปแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า สิ่งที่ท่านเป็นอยู่ทุกวันนี้จะเป็นความถูกต้อง หรือว่าท่านปลอมมา แต่ทุกครั้งที่ท่านมาก็ได้ให้ตามที่ปรารถนา ทีนี้จะพูดว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ก็คงต้องพิจารณาจากตอนที่ให้ ขณะที่ให้ไม่ต้องไปคิดว่าจะเป็นหรือไม่เป็น แต่ให้นี่ก็ถือว่าเป็นกุศลแล้วใช่ไหมครับ ส่วนที่ไม่เป็นหรือเป็นก็ได้ ก็เป็นส่วนที่ยังข้องใจสงสัยอยู่ครับ

    ท่านอาจารย์    เรื่องของจิตที่ให้ ถ้าให้เพื่อประโยชน์สุขของคนอื่น ขณะนั้นเป็นกุศล แต่ต้องพิจารณาว่า การกระทำของเราเอื้อเฟื้อต่อพระวินัย หรือว่าทำลายพระวินัย อันนี้สำคัญที่สุด ถ้าเป็นชาวพุทธที่ไม่รู้ พระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ที่จะทำลายพระพุทธศาสนาไม่ใช่คนอื่น ไม่ใช่ลัทธิศาสนาอื่น แต่เป็นพุทธศาสนิกชนนั่นเอง เพราะว่าไม่รู้เลยว่า การเป็นภิกษุต่างกับคฤหัสถ์อย่างฟ้ากับดิน เป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องของการสละ เป็นเรื่องของการละ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการออกไปเพื่อจะกลับมาเอา ใช่ไหมคะ อย่างสละเงินทองจึงได้บวช บวชแล้วกลับมาหาเงินทองได้อย่างไร กลับมาขอรับได้อย่างไร กลับมาขอบริจาคได้อย่างไร

    เรื่องของการละ ก็คือการละจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่ละด้วยใจ ไม่ใช่อยากบวช คนที่อยากบวชเพื่อจะปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด ก็ยังผิด เพราะเหตุว่าใจไม่ได้ละ แต่มุ่งที่จะเป็นคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด แต่ผู้ที่ละจริงๆแล้วไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์อย่างนี้

    เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นพุทธบริษัทต้องทราบว่า พระภิกษุแล้วต้องไม่ยินดีในเงินและทอง เพียงยินดีก็ไม่ได้ ไม่ใช่มาขอบริจาค เพราะฉะนั้นถ้าเราให้ไป เป็นการส่งเสริมหรือเป็นการทำลาย

    ศุกล  ก็นั่นซิครับ ก็ยังเป็นความสงสัยที่ว่า ถ้าเป็นพระจริง

    ท่านอาจารย์    จริงหรือไม่จริงก็ตามแต่ เราต้องมีสติสัมปชัญญะที่จะรู้ว่า ขณะจิตนั้นให้เพื่อประโยชน์สุข หรือว่าให้ด้วยเหตุอะไร และการให้นั้นเป็นการให้ที่ถูกต้องไหม อย่างให้ปัจจัยแก่พระภิกษุ ให้อย่างอื่นท่านได้ ซึ่งเป็นทางที่ทำให้ท่านมีชีวิตต่อไปได้ สงเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยเงิน

    ศุกล  แต่ท่านมาหา

    ท่านอาจารย์    มาก็มา

    ศุกล  ทีนี้ท่านก็

    ท่านอาจารย์    ไม่ได้ค่ะ

    ศุกล  ถ้าไม่ให้ท่าน แล้วต้องทำอย่างไรครับ

    ท่านอาจารย์    ไม่ใช่กิจของท่าน

    ศุกล  หมายความว่าไม่ให้เลย

    ท่านอาจารย์    ไม่ใช่กิจของท่านที่จะทำอย่างนั้น

    ศุกล  ก็คงเป็นที่ผิดหวังและเสียใจ

    ท่านอาจารย์    ช่วยไม่ได้  เพราะท่านต้องทราบว่า กิจของท่านคืออะไร และกิจไหนไม่ใช่กิจของพระ

    ศุกล  ครับ นี่ก็คงเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไปข้างหน้าอีกมาก


    หมายเลข 8122
    7 ก.ย. 2558