เบิกบานด้วยธรรมรส


    ฟังพระธรรมแล้ว รสอยู่ที่ไหน เหมือนกับรับประทานอาหาร รสอร่อย กับขณะที่รับประทานอาหารรสไม่อร่อย มีความต่างกันตรงไหน แล้วรับประทานอาหารรสอร่อยเมื่อไร เบิกบานไหมคะ เบิกบานที่ได้รสอร่อย ฉันใด ฟังธรรมเบิกบานที่ได้มีโอกาสเข้าใจธรรม ต่างกับขณะที่ไม่ได้ฟัง และไม่เข้าใจ เทียบกันได้ไหมคะ รสอร่อยก็เบิกบานชั่วขณะที่รสนั้นปรากฏ ดีใจ แช่มชื่น แต่พอฟังธรรมแล้วเข้าใจ รสของธรรมก็คือทำให้เบิกบาน จริงๆ แล้วรักษาให้พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง

    เพราะฉะนั้น ธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงประทานให้สัตว์โลกเป็นธรรมทาน เป็นการให้ชีวิต คนตายทำความดีไม่ได้ ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้ารู้ว่า ความดีคืออะไร มีปัจจัยที่จะทำได้ เพราะฉะนั้น ชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ชีวิตที่เกิดมาเลวร้าย แล้วก็ทำความชั่ว ซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลย แต่ถ้าในขณะนั้นสามารถรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรดี อะไรชั่ว รู้ความจริง เข้าใจความถูกต้อง ต้องเป็นประโยชน์ในที่ทุกสถาน เท่ากับให้ชีวิตที่เป็นประโยชน์ ลองคิดดูว่า คนในโลกนี้มีเท่าไร แล้วชีวิตของแต่ละคนเป็นประโยชน์แค่ไหน เท่าไร กับชีวิตที่ไร้ประโยชน์ เทียบกันได้ไหม

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงความจริงก็ให้ชีวิตที่เป็นประโยชน์ เท่ากับให้ชีวิตไม่ไร้ค่า ไม่ใช่เกิดมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ แล้วก็มีประโยชน์ที่เป็นรสอร่อยด้วย คือทำให้เบิกบานยิ่งกว่าความเบิกบานใดๆ ทั้งสิ้น แล้วยังเป็นยารักษาโรคใจ โรคใจมีมาก โรคโลภะ วันก่อนก็มีคนบอกว่า เพิ่งเห็นความหนักของโลภะว่า หนักแค่ไหน ทุกทีก็ติดข้องมากๆ แต่พอเริ่มฟังธรรมเข้าใจสภาพธรรมในขณะนั้น จึงรู้ว่าความติดข้องหนักแสนหนัก หนักยิ่งกว่าอย่างอื่น ติดข้องไปหมดทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้น อะไรจะเป็นยา ไม่ว่าในสถานการณ์ใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้คลายจากความหนัก หรือคลายจากโทษต่างๆ ของความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ นอกจากให้ชีวิต ให้รสอร่อย เบิกบาน และยังเป็นยารักษาโรคใจทุกกาละ ทุกสถานที่ด้วย ประการสำคัญก็เหมือนการปล่อยสัตว์ออกจากกรง จริงหรือเปล่า กำลังอยู่ในกรงใหญ่มาก กรงของสังสารวัฏ จากนี่ไปนั่น จากนั่นไปนี่ ไม่พ้นกรงของสังสารวัฏเลย และทุกคนที่สงสารสัตว์ ชอบปล่อยสัตว์ รู้ว่าสัตว์อยู่ในกรงทุกข์แค่ไหน แต่ไม่รู้ตัวว่า กำลังอยู่ในกรง

    เพราะฉะนั้น ประโยชน์สูงสุดของพระธรรม คือ ปล่อยสัตว์โลกออกจากกรงของความทุกข์ ของความไม่รู้ ของความเห็นผิด ของกิเลสทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมเบิกบานเมื่อไร นั่นคือเป็นรสที่อร่อยของพระธรรม ไม่ให้เพียงแต่ให้ชีวิตแห้งแล้ง แต่ยังให้ชีวิตที่เบิกบานด้วยความเห็นถูก ความเข้าใจถูก และในขณะเดียวกันคนที่ป่วยไข้ทั้งหลายที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ก็มียารักษาโรค โรคริษยา น่าเกลียดไหมคะ อยู่ดีๆ แท้ๆ ก็ไปเที่ยวริษยาอะไรก็ไม่รู้ ทนไม่ได้ที่จะเห็นสิ่งที่ดีงาม แต่เป็นของคนอื่น ไม่ใช่ของเรา

    นี่ก็คือไม่ได้เห็นโทษของอกุศลเลย แต่พระธรรมจะชี้ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า อกุศลเป็นอกุศล แยบยลหลากหลาย และละเอียดมากด้วย ยากที่จะรู้ได้ แต่ปัญญาสามารถรู้ทุกอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงได้ ขณะนั้นเบิกบานไหมคะที่ได้รู้ความจริง และได้พ้นจากการไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น จากการได้เข้าใจพระธรรม แต่ละคำจริงๆ เพราะว่าถ้าเราเผิน พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคประทานให้สัตว์โลกได้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เปรียบเหมือนกับการให้ชีวิต ให้รสอร่อย ให้ยารักษาโรค และปล่อยสัตว์ออกจากกรง ใครยังอยากอยู่ในกรงต่อไป ก็เป็นเรื่องของการคิดว่าเป็นสุข แต่ถ้าเพียงพ้นจากกรงของความไม่รู้นิดเดียวว่า ไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม ก็ได้รู้ว่า นี่แหละธรรม ไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่เรา หลงยึดถือว่าเป็นเรา และของเรามานานแสนนาน ต่อไปนี้ก็รู้ว่า เป็นสิ่งที่เกิดตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกแต่ละภพแต่ละชาติ

    เพราะฉะนั้น ก็ปล่อยสัตว์ออกจากกรงของอวิชชา ของความไม่รู้ จนกระทั่งเป็นอิสระ


    หมายเลข 9206
    19 ก.พ. 2567