กิเลสที่ละได้ยาก


    อ.อรรณพ ในบรรดากิเลสทั้งหลาย อะไรสละยากมากครับ

    ท่านอาจารย์ ความเห็นผิด ความไม่รู้ที่ยึดถือสภาพธรรมเพราะไม่รู้จริงๆ ไม่ว่าจะบอกว่าขณะนี้มีสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ก็ผ่านไป ซ้ำๆ ๆ ทุกวัน เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เริ่มคิดหรือยัง แล้วก็เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยไหมว่า ชั่วคราวแค่ไหน เพียงปรากฏ ตามความเป็นจริง ผู้ที่ประจักษ์ความจริงแสนสั้น

    เพราะฉะนั้น ใช้คำว่า เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป หมดไปคือดับไป ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของความติดข้องในสิ่งที่ไม่เหลือ และไม่มี แต่ยังเก็บไว้ ยังจำไว้ ยังติดข้องอยู่

    เพราะฉะนั้น กว่าจะละคลายความติดข้องได้ก็ต้องเป็นปัญญาที่เริ่มรู้ความจริงทีละเล็กทีละน้อย แล้วก็ไม่ใช่แสวงหาพรหมจรรย์ แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญอริยมรรค ซึ่งหมายความถึงความเห็นถูก คือ ปัญญาที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะอะไรคะ เพราะปัญญาประจักษ์ความจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ ขณะนี้มีเห็น ยังไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ในขณะที่เห็นกำลังเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เท่านั้นเอง ๒ อย่าง

    เพราะฉะนั้น การจะละความเป็นเราได้ ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนี้มีแต่เห็นกับสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ขณะนี้ อีกขณะหนึ่งก็มีแต่ได้ยินกับเสียง ไม่มีเห็น ไม่มีคิดนึก ไม่มีแข็ง ไม่มีอ่อนเลย ถ้าสามารถรู้ได้ว่า แต่ละขณะก็เป็นสิ่งที่ปรากฏชั่วคราว ไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว เพราะเกิดแล้วดับ และสิ่งที่ยังไม่มาถึง เพราะว่าเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนั้น จึงจะเห็นได้ว่า ไม่มีเรา ไม่มีตัวตน ไม่มีเขา ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดในสิ่งที่ปรากฏ ทางตา ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    เข้าใจแต่ละอย่างก่อน ส่วนจะรู้ว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ต้องรู้แน่ แต่ไม่ใช่ขณะที่กำลังเห็น นี่คือการอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่แสวงหาเพราะต้องการที่จะไม่มีโทสะ แต่ไม่มีปัญญา ไม่มีความเห็นถูกเกิดขึ้น

    อ.อรรณพ ความเห็นผิดที่เป็นอกุศลธรรมที่หยาบ สละได้ยากอย่างไร ในเมื่อมีกิเลสที่ละเอียดยิ่งกว่านั้น

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าถ้าไม่สละการยึดถือแล้ว อย่างอื่นสละไม่ได้เลย พูดถึงมานะ ความสำคัญตน ซึ่งละได้ด้วยอรหัตมรรค แสดงให้เห็นถึงความละเอียดยิ่งของความสำคัญตน มองไม่เห็นเลย โลภะก็ละเอียด ที่ไม่รู้ก็มี และความสำคัญตนที่ละเอียดก็มีด้วย เราเห็นแต่ความสำคัญตนอย่างหยาบๆ เวลาที่มีการแสดงกาย วาจาบางครั้ง ก็รู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นความสำคัญตน แต่ความละเอียดของความสำคัญตนก็ต้องมีด้วย

    เพราะฉะนั้น ความสำคัญตนเป็นเรา หรือไม่ใช่เรา

    อ.อรรณพ เป็นธรรม แต่ตอนมานะเกิดเป็นเราด้วยมานะ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องละความเห็นผิดว่า มานะเป็นเราก่อน ใช่ไหมคะ จะไปละมานะก่อนไม่ได้ เพราะยังคงเป็นเราอยู่

    เพราะฉะนั้น ถ้ามานะเกิด ก็เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่ง โลภะเกิดก็เป็นธรรมที่ควรรู้ยิ่งว่าเป็นธรรม จนกว่าจะหมดความสงสัย และหมดการยึดถือว่าเป็นเราก่อนการสละอกุศลอื่นๆ

    อ.ธิดารัตน์ กิเลสที่ละยาก เมื่อกี้ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างความเห็นผิด และความไม่รู้

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้จึงเห็นผิด ใช่ไหมคะ

    อ.ธิดารัตน์ ระหว่างความเห็นผิดกับความไม่รู้ อะไรน่ากลัวกว่ากัน

    ท่านอาจารย์ ความเห็นผิดยังละได้หมดเมื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม เพราะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม แล้วก็เกิดดับด้วย ไม่ใช่ตัวตน บางคนก็สงสัยด้วยว่า แล้วทำไมถึงยังมีโลภะ โทสะ เพราะมีปัจจัยให้เกิดก็เกิดให้รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่หมดเหตุปัจจัยให้ไม่มีโลภะ

    เพราะฉะนั้น ด้วยการอบรมความรู้ ความเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะเป็นโลภะระดับไหน โทสะระดับไหน อกุศลระดับไหน อาจหาญร่าเริงเพราะเป็นปัญญา ที่สามารถเข้าใจได้ว่า ขณะนั้นเป็นธรรม ท้อแท้หรือยัง ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น รอไหวไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ปัญญาก็สามารถรู้ในขณะนั้นที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ จึงใช้คำว่า “ตามรู้” บ่อยๆ ไม่ได้แยกกันเลย

    สภาพธรรมปรากฏ ตามรู้ คือรู้อันนั้นแหละ อันที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ตัวเรากำลังจะมีสติระลึกรู้ลักษณะนั้น ไม่ใช่เลย นั่นก็เป็นความเป็นเราที่แฝงอยู่ แต่ขณะใดก็ตามที่ฟังเข้าใจขึ้น เมื่อสภาพธรรมใดปรากฏ กำลังรู้เฉพาะลักษณะนั้นด้วยความเข้าใจ เห็นไหมว่าต่างกับเวลาที่สภาพธรรมก็ปรากฏตามปกติ แต่ไม่มีความเข้าใจใดๆ แต่ขณะที่ฟังเข้าใจขึ้นๆ ลักษณะของสภาพธรรมก็ปรากฏตามปกตินั่นเอง แต่มีปัจจัยที่ทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมหนึ่งในขณะนั้น ก็แสดงว่า ขณะนั้นใช้คำว่า “สติสัมปชัญญะ” ใช้คำว่า “สติปัฏฐาน” เพราะเหตุว่ามีความรู้ถูก มีความเห็นถูกในความเป็นธรรมของสภาพธรรมนั้น

    เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเป็นมานะ ก็มีความรู้ถูกว่า เป็นธรรม ก็ต้องละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน และความไม่รู้ก่อน


    หมายเลข 9121
    19 ก.พ. 2567