เกิดเพราะอะไร


    อ.อรรณพ ชีวิตเกิดมา และดำเนินไปเพราะอะไร ทำไมจึงยังมีการกระทำกุศลกรรมบ้าง อกุศลกรรมบ้าง ถ้ายังไม่รู้ ก็ต้องมีความเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนี้ไม่มีจบสิ้น

    จากการสนทนาธรรมที่ รพ. พระมงกุฎเกล้า ๕ ธ.ค. ๒๕๕๔

    ท่านอาจารย์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดต้องมีปัจจัย เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังธรรม แม้แต่ข้อความในพระสูตรก็แสดงว่า จากเสียงที่ได้ยินก็จะศึกษาให้เข้าใจในภาษาของตนๆ

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราได้ยินได้ฟังส่วนใหญ่ก็มาจากคำภาษาบาลี แต่ว่าคำภาษาบาลีทั้งหมดสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาบาลี ก็สามารถเข้าใจได้ในภาษาของตนๆ เช่น คนไทยได้ยินคำว่า อวิชชา ไม่ใช่ภาษาที่เราใช้ตั้งแต่เกิด แต่ได้ยินคำที่จะต้องเข้าใจความหมายด้วย วิชชา คือ ความรู้ถูกต้องตามความเป็นจริง หรือความเห็นถูก อะ คือ ไม่ อวิชชา ง่ายๆ ก็คือไม่รู้

    เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้ ถ้าจะว่ามาจากไหน ก็เดี๋ยวนี้เกิดความไม่รู้ ซึ่งอาศัยการสะสมความไม่รู้ และความติดข้องมานานมาก โดยที่ไม่รู้เลย

    เพราะฉะนั้น เราสามารถเข้าใจธรรมที่เกิดมีขึ้นในชีวิต เช่น ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งขณะนี้ว่า มีวิชชาหรืออวิชชา วิชชา คือ สามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ อวิชชาไม่รู้ว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอะไร ทั้งๆ ที่ไม่รู้ก็มีสังขาร ซึ่งหมายความถึงเจตนาที่เป็นกุศล และอกุศลในวันหนึ่งๆ

    เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวันเป็นอกุศลก็มี เป็นกุศลก็มี ที่เราใช้คำว่า กรรมดี กรรมชั่ว อาศัยเจตนาที่เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง ก็มีการกระทำต่างๆ แต่ก็ยังคงไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น เราคงไม่ย้อนไปถึงชาติก่อนๆ ก็ได้ เพราะแม้แต่เพียงชาตินี้ก็เริ่มจากความไม่รู้ตั้งแต่เกิด แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป ต้องเป็นไป ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แล้วก็คิด แล้วก็เป็นสุข เป็นทุกข์ต่างๆ แต่ก็ยังไม่รู้

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ฟังตามลำดับ เช่น ขณะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย มีจริงๆ โดยไม่มีใครต้องไปทำอะไรเลย ไม่มีใครต้องไปทำเห็น แต่เห็นก็เกิดแล้ว ไม่มีใครต้องทำให้ได้ยินเลย ได้ยินก็เกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น อวิชชา คือถ้าไม่รู้อย่างนี้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น เริ่มเข้าใจสิ่งที่เกิดแล้วตามความเป็นจริงว่า ต้องมีเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้นๆ ไม่เป็นอย่างอื่น แต่แม้กระนั้นก็ยังไม่หมดความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้ถ้าเราจะคิดถึงความจริงในวันหนึ่งๆ ว่า เรามีกุศล และอกุศลซึ่งเป็นสังขาร มาจากอวิชชา มาจากความไม่รู้ ก็เป็นความจริง

    เพราะฉะนั้น เมื่อเกิดแล้วสามารถได้ยินได้ฟังพระธรรม มีโอกาสเข้าใจพระธรรมตามลำดับ เช่น ความไม่รู้เป็นความไม่รู้ และกุศล และอกุศลทั้งหลายถึงแม้จะเกิดขึ้นเป็นไป ก็ยังไม่หมดความไม่รู้ ก็จะค่อยๆ เข้าใจว่า ชีวิตเกิดมาเพราะไม่รู้ และถ้ายังคงไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็ยังคงไม่รู้ต่อไปอีก

    เพราะฉะนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้จากโลกนี้ไป และมีปัจจัยทำให้เกิด ก็ต้องไม่รู้อยู่นั่นเอง

    ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมแต่ละครั้งก็เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเล็กๆ น้อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย จนกว่าสามารถเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น และก็ดับไป และก็ไม่กลับมาอีกเลย เช่น เมื่อกี้นี้เกิดแล้วดับแล้ว ไม่กลับมาอีก เป็นอย่างนี้ตลอดทุกขณะ

    นี่คือเริ่มเข้าใจความจริงว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสิ่งที่ต้องเกิดตามความเป็นจริง จนกว่าความรู้จะค่อยๆ ละความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย


    หมายเลข 8857
    19 ก.พ. 2567