นายที่มองไม่เห็น


    เพราะฉะนั้น เราก็พยายามจะข้ามๆ ไป แต่เราฟังเพื่ออะไรคะ เพื่อจะได้ไม่หลงทาง ไปคิดว่าเราไม่ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏก็ได้ นี่เป็นความผิดพลาดอย่างยิ่ง คือ ฟังธรรมไม่ละเอียด และหนทางของพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างที่เราคิดเองได้เลย แต่แต่ละคำใคร่ครวญ ไตร่ตรอง เป็นผู้ที่มีเหตุผล เป็นผู้ที่มีความเคารพว่า คำพูดนี้ถูกหรือผิดว่า สิ่งที่หมดไปแล้ว เราไม่สามารถรู้ได้ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ไม่สามารถรู้ได้

    เพราะฉะนั้นสิ่งนี้แหละ ปกติธรรมดาอย่างนี้แหละ ปัญญาสามารถเห็นตามความเป็นจริงตั้งแต่คำแรก คือ เป็นธรรม เวลานี้ลักษณะของธรรมยังไม่ถึงเลย เพียงแต่ฟัง แล้วเห็นก็มีจริงๆ เข้าใจเห็นว่ามีจริงเท่านั้น หรือเข้าใจเห็นว่าเป็นธาตุหรือเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นรู้ คือ เห็น

    ก็ต้องค่อยๆ ฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยไม่หวัง ตัวนี้เป็นหนทางที่ยากมาก คือ เราอดหวังไม่ได้ เพราะว่าเราสะสมโลภะไว้มาก อย่างที่กลางวันเราพูดถึง “เป็นนายที่มองไม่เห็น” แต่ทำตามเขาทุกอย่างทั้งวัน

    เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถจะเห็นโลภะ แล้วละโลภะ เพราะเหตุว่าอริยสัจมี ๔ อริยสัจที่ ๑ คือทุกขอริยสัจจะ ไม่ได้หมายความถึงความรู้สึกเป็นทุกข์ ทุกข์ที่นี่ หมายความถึงสภาพนั้นไม่น่ายินดี ตรงกันข้ามกับสุข ที่เราเพลิดเพลิน และต้องการ

    เพราะฉะนั้นในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์เลย ใครจะเห็นว่า เห็นขณะนี้เป็นทุกข์บ้างคะ ไม่มีทาง แต่ตราบใดที่เห็น เกิดดับใช่ไหม ตามความเป็นจริง เมื่อไรที่ประจักษ์อย่างนั้น เมื่อนั้นคือทุกขอริยสัจจะ แล้วการที่จะรู้อย่างนี้ได้ ต้องละความไม่รู้ในขั้นฟัง หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหนทาง รู้แล้วละ ถ้าไม่ฟังเลย จะเอาอะไรมารู้ว่า ขณะนี้แหละเป็นธรรมที่เกิดดับแม้ขั้นฟัง และกว่าจะรู้สภาพธรรมจริงๆ ก็ต้องฟังจนกระทั่งเป็นความรอบรู้ความต่างของขณะที่เห็น แต่ว่าไม่รู้ว่าเป็นธรรม กับขณะที่เห็นแล้วเริ่มค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยเหมือนจับด้ามมีดว่า เห็น คือกำลังเห็นอย่างนี้แหละ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่นเลย แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นธรรมที่เห็น ไม่ใช่ธรรมที่ปรากฏให้เห็นทางตา

    แค่นี้คือชีวิตประจำวันของทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย ที่กล่าวว่าเกิดแล้วตายไป โดยไม่รู้ไม่เข้าใจธรรม ก็เพราะไม่ได้ฟังพระธรรม จึงไม่รู้จริงๆ ว่า ธรรมอยู่ที่ไหน ได้ยินแต่เพียงเขาบอกว่า ธรรมเป็นอย่างนี้ ธรรมเป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ธรรมคือขณะที่กำลังทำหน้าที่ของธรรมแต่ละอย่าง เพราะต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็เห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นความเข้าใจของเราจะข้ามไปไม่ได้เลย ต้องตามลำดับจริงๆ เรียนหนังสือก็ตั้งแต่เตรียมอนุบาล แล้วก็อนุบาล แล้วก็ต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้อยู่ตรงไหน ใครอนุบาลบ้าง เกือบจะไม่ต้องกล่าวชื่อเลยนะคะ แต่ทุกคนก็รู้จักตัวเองค่ะ เราจะรู้จักคุณนุชไหม รู้จักคุณธิดารัตน์จริงๆ หรือเปล่า ก็เพียงแค่คิดคาดคะเน แต่บุคคลนั้นเองต่างหากที่จะเป็นผู้รู้ตามความเป็นจริง ไม่ถูกลวง เพราะเหตุว่าปัญญาสามารถรู้ความจริง แต่อวิชชาถูกลวง ไม่รู้ก็เข้าใจว่ารู้ ไม่ใช่หนทางก็เข้าใจว่าหนทาง ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าก็คิดว่า นี่แหละพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้


    หมายเลข 8694
    19 ก.พ. 2567