ปุถุชนไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้


    ฐานะของปุถุชนผู้ที่มีกิเลสมากจะข้ามไปเป็นพระอรหันต์ อย่าหวังเลย หรือว่าจะเป็นพระอนาคามี ก็คิดไปเถอะ เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าฐานะตามความเป็นจริง ปัญญาต้องเห็นตามความเป็นจริงว่า ปุถุชนมีมากมาย หลายหนึ่ง คือ แต่ละหนึ่งๆ นับไม่ถ้วนเลย เพราะฉะนั้นก็มีคำที่กล่าวไว้ว่า ข้อความในพระไตรปิฎก และอรรถกถา “ปุถุชนไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้” สั้นมากไหมคะ ปุถุชนไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้ ฟังได้ทุกเรื่อง ชอบฟังทุกเรื่อง เรื่องอื่นๆ ชอบหมดเลย

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรม แล้วก็เข้าใจอรรถ ความลึกซึ้งของแต่ละคำที่ทรงแสดงความหมายของปุถุชนนัยหนึ่งว่า ปุถุชน คือ ผู้ที่ไม่ฟังสิ่งที่ควรรู้ เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังสิ่งที่ควรรู้ ก็เป็นปุถุชนที่มีความเห็นถูกต้อง จนกว่าจะหมดถึงที่สุดของความเป็นปุถุชน ไม่ใช่ด้วยการละโลภะที่ติดข้องในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ แต่ละการคิดว่า สภาพธรรมขณะนี้เป็นเรา หรือเป็นของเราด้วยความยึดมั่นจริงๆ ซึ่งละเอียดมาก มีตั้งแต่ระดับขั้นของอนุสัย เป็นพืชเชื้อที่จะให้เกิดอกุศล จนถึงว่าเมื่อมีปัจจัยที่กุศลจิตจะเกิด อกุศลธรรมเกิดขึ้นขณะนั้นทำให้จิตนั้นเป็นอกุศล และจนถึงระดับขั้นที่ทำทุจริตกรรมต่างๆ ได้

    นี่ก็คือชีวิตตามความเป็นจริง ที่เป็นธรรมที่ต้องเข้าใจจริงๆ พระธรรมทั้งหมด พุทธะ รู้ ศาสนา คือ คำสอน พุทธศาสนา คำสอนให้รู้ถูก ให้เห็นถูก ให้เข้าใจถูก ไม่ใช่อย่างอื่น ทั้งหมดเลยตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เพื่อความถูกต้อง เพื่อความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้นขณะนี้ให้ละอย่างอื่น ละไม่ได้หรอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ค่อยๆ ละความไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม แล้วก็เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก่อน ไม่ใช่ทำอย่างอื่น และหนทางก็คือเข้าใจ ถ้าไม่มีความเข้าใจ ก็ไม่มีอะไรไปค่อยๆ ละความไม่รู้ได้

    เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังฟัง และเข้าใจ แม้ว่าจะแสนไกล เพราะลักษณะของสภาพธรรมถ้าเทียบอย่างกว้างกับจักรวาล จนมาถึงขณะจิตหนึ่ง นามธรรม และจิต คือ จิต และเจตสิกที่เกิดร่วมกัน ดับเร็วแค่ไหน ขณะนี้ ให้เข้าใจความจริงเป็นพื้นฐานที่จะสะสมไป ที่จะค่อยๆ มั่นคง โดยไม่ใช่ไปรีบร้อนแสวงหา จะเป็นพระโสดาบัน หรือจะละความไม่รู้ จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งปรากฏเป็นเท็จ ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ก็ต้องฟังในขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นแต่ละคนเหมือนกันหรือเปล่า คำเดียวกันที่ฟัง คิดต่างกัน

    เพราะฉะนั้นถ้าคิดลึกซึ้ง และคิดละเอียด ก็จะทำให้สามารถเข้าถึงความจริงของธรรมได้ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มีจริงโดยอาศัยคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ในขณะที่มีโอกาสได้ฟัง ถึงกาลที่จะได้ฟัง แต่ใครจะรู้ว่า เวลาที่จะฟังธรรม จะมีมากหรือมีน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นพระธรรมทั้งหมดเพื่อไม่ประมาทเลย เพราะใครก็ไม่รู้ว่า อะไรจะเกิดแม้ขณะต่อไป ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลย สภาพธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้นไม่ประมาท คือ ฟังธรรม เพื่อจะสะสมความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ใช่ไปอยากรู้ อยากเข้าใจ หรืออยากเรียกคำต่างๆ


    หมายเลข 8377
    18 ก.พ. 2567