โลภะ - โทสะ
บุษบง ทีนี้ท่านอาจารย์ก็กล่าวมาแล้ว ๑๐ ข้อ ดิฉันอยากจะขอรายละเอียดของความหมายของแต่ละคำสักนิดนะคะ ดิฉันจะลองพูดนะคะ โลภะ คือ ความอยาก อยากในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่า อยากจะได้ของที่ดีเสมอ แม้แต่ของที่ไม่อยาก ก็ถือว่าเป็นโลภะไหมคะ
ท่านอาจารย์
บุษบง อย่างนั้นก็หมายความได้ทั้ง ๒ อย่างเหมือนกันที่ดิฉันพูด คือ ทั้ง...
ท่านอาจารย์
บุษบง ติดทั้ง ๒ อย่างด้วย คือไม่อยากได้ด้วย
ท่านอาจารย์
บุษบง ติดที่จะไม่อยากได้
ท่านอาจารย์
นี่เป็นเหตุที่ว่า เรามีอวิชชา แต่ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมแล้วไม่มีทางที่จะรู้เลยว่า ความไม่รู้อยู่ที่ไหน และมีมากสักแค่ไหน คล้ายๆกับว่า เรามีปัญญามาก ใครพูดอะไรเราก็รู้ไปหมด เข้าใจไปหมด แต่ความจริงไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว ถ้าไม่รู้ว่าขณะที่กำลังเห็น แล้วปัญญาไม่เกิด ต้องเป็นโมหะ และต้องเป็นความติดข้อง
เพราะฉะนั้นความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏทางตานี่เร็วมาก ยังไม่ทันต้องไปนึกเป็นเรื่องเป็นราว เป็นคนนั้น เป็นวัตถุสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพียงแต่มีการเห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตายังไม่ดับ ความติดข้องก็เกิดแล้ว
เพราะฉะนั้นนี่คือความติดข้องทางตา ความติดข้องทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ยังเรื่องราวต่างๆที่เราคิดในวันหนึ่งๆ โดยมากนักธุรกิจมีธุรกิจเยอะ คิดเรื่อย แต่ไม่รู้ว่า จิตที่คิดติดข้องในเรื่องที่คิด เราจึงได้คิดเรื่องนั้น ถ้าขณะนั้นไม่ใช่โทสะ แต่ถ้าเป็นโทสะ เราจะคิดแบบขุ่นเคือง โกรธคนนั้น ไม่ชอบคนนี้ ไม่พอใจในลาภ ในคำสรรเสริญต่างๆ ที่เขาได้ ที่คนอื่นชื่นชมเขา นั่นก็เป็นเรื่องสภาพธรรมของจิตซึ่งหงุดหงิด หรือว่าไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจ ไม่ใช่ลักษณะของโลภะ
เพราะฉะนั้นก็ต้องให้ทราบว่า ลักษณะของโลภะเป็นสภาพที่ติดข้อง แล้วทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้เรื่องราวที่คิดนึก อย่างเวลาดูโทรทัศน์ สนุกมากเลย คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งๆที่ไม่มีอะไรเลย เป็นแต่ชื่อซึ่งเขาแต่งและเขาทำให้เราคิดไป แต่นั่นแสดงให้เห็นว่า มีความติดข้องในเรื่องราวที่กำลังคิดอยู่ และชีวิตจริงๆก็คืออย่างนี้
เพราะฉะนั้นโลภะนี่มากเหลือเกิน แต่ต้องเป็นสภาพที่ติดข้องเท่านั้น จึงจะเป็นโลภะ ถ้าขณะใดที่ไม่พอใจ ไม่ชอบ ขณะนั้นไม่ใช่โลภะ เป็นโทสะ
เพราะฉะนั้นอย่าปนกันที่จะว่า แม้แต่อยากไม่ต้องการ หรืออะไรอย่างนี้ ก็อย่าไปคิดมาก เอาเพียงลักษณะใดที่เป็นสภาพที่ติดข้อง ขณะนั้นเป็นลักษณะของโลภะ