มานะกับผ้าเช็ดธุลี ๑


    คุณหญิงชวนชม   เมื่อตอนต้นอาจารย์พูดถึงเรื่องผ้าเช็ดธุลี  อาจจะมีบางท่านที่ไม่เข้าใจคำนี้

    ท่านอาจารย์ ถ้าพูดคำว่า “ผ้าขี้ริ้ว” จะเข้าใจไหมคะ

    ช.   นอกจากนั้นดิฉันอยากขอให้ท่านอาจารย์ช่วยเล่าว่า ทำไมจึงได้เกิดให้มีการประพฤติตนดุจผ้าเช็ดธุลี และได้ผลประโยชน์อย่างไร และอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า ถ้าจะเป็นผู้เช็ดธุลี เราคงต้องลดมานะ ขอให้ท่านอาจารย์ชี้แจงเรื่องคำว่า “มานะ” ด้วย

    ท่านอาจารย์ คือเป็นเรื่องของภาษาไทยกับภาษาบาลีที่ปนกันมาตลอด แล้วเราก็ใช้ในความหมายของภาษาไทยว่า มานะคงจะหมายความถึงสิ่งที่ดี เป็นความอดทน เป็นวิริยะ ที่เราคิดว่าควรจะมี แต่ในภาษาบาลี ลักษณะของมานะเป็นสภาพธรรมที่ทะนงตน สำคัญตน หรือเราจะใช้คำว่า “หยิ่ง” “เย่อหยิ่ง” “ลำพอง” ก็ได้

    มานะนี่ละเอียดมาก ผู้ที่จะดับหรือละมานะได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นเพียงพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามียังละมานะไม่ได้  เพราะฉะนั้นแสดงให้เห็นว่า มานะนี่ต้องลักษณะมากจริงๆ และเราก็เห็นเฉพาะมานะใหญ่ๆ หมายความว่าคนนั้นเป็นคนหยิ่ง เป็นคนทะนงตน หรือเวลาที่เราเกิดมีความรู้สึกสำคัญตัวขึ้นมา ขณะนั้นเราไม่รู้จักหน้าตาของสภาพธรรมนี้เลยว่า นี่แหละมานะ ที่ชื่อว่า “มานะ” ตัวนี้แหละ แต่ก็คงจะเกิดกับหลายเหตุการณ์ ถ้าสมมติว่าเราไปที่แห่งหนึ่ง และไม่มีใครต้อนรับเราเลย ทั้งๆที่เขาก็น่าจะต้อนรับเรา ไม่เอาใจใส่เราเลย อาจจะนั่งคอยอาหารอยู่ตั้งนาน โต๊ะอื่นเขาก็ได้รับประทานหมดแล้ว เราจะมีความรู้สึกว่า เขาไม่เห็นว่าเราเป็นคนสำคัญเลยหรืออย่างไร บางคนก็อาจจะคิดอย่างนั้น แล้วก็มีกิริยาอาการซึ่งผิดปกติขึ้นมาเลย หมายความว่าไม่มีความมั่นคงที่จะเป็นผ้าเช็ดธุลี แต่เกิดความไม่สบายใจ อึดอัดและมีกิริยาอาการของมานะแสดงออกมา

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ก่อนนี้เราไม่เคยสังเกตตัวนี้เลย แต่เวลานี้ให้ทราบว่าเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งทำให้เราลำบากใจ สำคัญตน และเดือดร้อนเวลาที่มีมานะเกิดขึ้น

    เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นศัพท์ภาษาธรรมซึ่งต่างกับในภาษาไทย และสำหรับเรื่องผ้าเช็ดธุลี หรือผ้าขี้ริ้ว ก็เป็นผ้าที่ไม่มีราคา หมายความว่าคนอื่นจะเหยียบจะย่ำอย่างไรก็ได้ เมื่อเราไม่มีความสำคัญตน แต่ถ้าเรามีความสำคัญตนแล้ว สำคัญไปหมดเลยทุกอย่าง ชื่อเรียกไม่ถูกก็ไม่ได้ ต้องเรียกให้ถูกค่ะ มีคนหนึ่งที่บริจาคเงิน และผู้ประกาศก็ประกาศไม่ถูก ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่บริจาคอีกเลย เขาก็บอกว่า ประกาศชื่อเขาไม่ถูก

    นี่แสดงให้เห็นว่า แม้แต่เพียงชื่อ ก็มีความสำคัญถึงขนาดนั้น นี่แสดงให้เห็นว่าเราติดอะไรบ้าง ติดเสียง ติดชื่อ แล้วคิดว่า ชื่อนั้นมีความสำคัญมากมาย แต่ความจริงเป็นแต่เพียงชื่อ ความสำคัญควรจะเป็นกุศลจิตหรืออกุศลจิต ถ้าเป็นอกุศลจิตแล้วไม่ดี ไม่ว่าจะอยู่กับใคร จะเป็นท่านผู้หญิงหรือจะเป็นเจ้าคุณ จะเป็นใครก็ตาม อกุศลก็คืออกุศล ถ้าเป็นกุศล ไม่ว่าจะเกิดกับเด็กเล็กผู้ใหญ่อย่างไรก็ตาม สภาพที่ดีงามก็ยังคงเป็นสภาพที่ดีงาม ซึ่งทุกคนจะต้องชอบ ชื่นชมสภาพที่ดีงามนั้น

    เพราะฉะนั้นลักษณะของผ้าเช็ดธุลีนั้นหมายความว่า ในความรู้สึกของเราเอง เราไม่ได้เป็นคนสำคัญอะไร ดีกว่าที่เราจะคิดว่า เราเป็นคนสำคัญไหม คือขอให้เปรียบเทียบ เริ่มที่จะพิจารณาว่า อะไรดี ถ้าเรามีความสำคัญในตัวซึ่งมันไม่มีอะไร ท่านอุปมาเหมือนกับลูกโป่ง ลอยขึ้นไปได้สูงมาก ยิ่งอัดก๊าซเข้าไปก็จะยิ่งลอยไปสูงมาก ข้างในไม่มีอะไรเลย

    เพราะฉะนั้นนี่คือมานะ ความสำคัญตน ให้เราเป็นอะไรก็ได้ เรียกชื่อเราอะไรก็ได้ เราก็พลอยลอยไปตามชื่อซึ่งตั้งตามคำที่เรียก แต่ไม่มีอะไรเลย ขันธ์ทุกขันธ์เกิดแล้วก็ดับไป เราเมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหน เมื่อกี้นี้ค่ะ เดี๋ยวนี้อยู่ตรงนี้ เมื่อกี้นี้อยู่ที่ไหน ตัวเราที่เราคิดว่าเรานั่งอยู่ตรงนี้ เมื่อกี้นี้ไม่มีแล้ว มีตัวนี้ มีรูปนี้ มีนามนี้ ซึ่งเกิดดับเร็วมากทุกขณะ

    เพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว เป็นแต่เพียงชื่อที่เรียกให้เข้าใจกัน เพราะฉะนั้นจะเรียกว่าอะไรก็ไม่สำคัญ ถ้าเราหมดความสำคัญในตัวเราที่จะทำให้เป็นคนทะนงตน เราจะมีความสบาย ใครจะเรียกเราอย่างนั้นก็ได้ ไม่เรียกเราอย่างนั้น เราก็เป็นตัวเรา ไม่เห็นจะเดือดร้อน เรียกผิดก็ผิด เรียกถูกก็ถูก ทำไมจะต้องมีความสำคัญถึงขนาดนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผ้าเช็ดธุลี ก็คือว่า ในความรู้สึกของเรา ไม่มีความสำคัญในตน หรือความทะนงตนว่า เราต้องเป็นอย่างนั้น หรือเราต้องเป็นอย่างนี้ เพราะจริงๆแล้ว ก็เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง


    หมายเลข 7980
    6 ก.ย. 2558