กว่าการฟังจะมีการเข้าใจ


    ผู้ที่เป็นพระอริยสาวกในสมัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้ฟังพระธรรมจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ  หลายพระองค์ ก่อนการที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระอริยบุคคล

    เพราะฉะนั้นบางท่านก็คิดถึงเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน แล้วก็บอกว่า เวลาที่สติเกิดระลึกขึ้นมา ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพียงแต่คิดเรื่องสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เช่น ทางตาในขณะนี้ กำลังเห็น ระลึกได้ แต่ไม่ตรงลักษณะของสภาพรู้ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน  ซึ่งกำลังรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เป็นการนึกเรื่องจักขุวิญญาณ ซึ่งเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ก็ยังเป็นการดีที่เมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่ได้หลงลืมสติเสียทีเดียว แต่ว่ามีปัจจัยที่จะให้เกิดนึกถึงเรื่องของการเห็น เพียงแต่สติยังไม่ได้ระลึกตรงลักษณะของสภาพรู้ ธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า กว่าการฟังจะฟัง ๆ ๆ ๆ และมีการเข้าใจ ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ เป็นสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่งให้สตินี้ระลึกได้ ไม่ใช่เพียงขั้นคิด แต่ยังระลึกได้ตรงลักษณะซึ่งเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ ที่กำลังเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ต้องอาศัยกาลเวลาไม่ใช่น้อยเลย

    เพราะฉะนั้นสำหรับผู้ที่เพียงฟัง แล้วระลึกได้ตรงลักษณะของสภาพธรรมซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน  ก็จะต้องเป็นหลังจากที่ฟังแล้วหลายหมื่นกัป พร้อมทั้งอบรมเจริญสติหลายหมื่นกัป เพราะฉะนั้นมีปัจจัยพร้อมที่เมื่อเพียงได้ฟังเรื่องลักษณะของสติ ก็เป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานเข้าใจแจ่มแจ้ง แล้วระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทันทีได้ และเมื่อได้อบรมในเวลาไม่นานนัก ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ถ้าขณะใดที่สติเกิด แต่ยังไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าท่านผู้นั้นเองบอกว่า ไม่มีลักษณะของธรรมปรากฏ เช่น ทางตาระลึกได้ ก็เป็นเรื่องของการเห็น แต่ไม่ใช่เป็นเพราะรู้ว่า เป็นธาตุรู้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมจึงยังไม่ปรากฏว่า เป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่ว่าผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานจนคล่อง สามารถที่สติจะเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ว่าจะเป็นขณะไหนที่สติปัฏฐานเกิด สติปัฏฐานจะระลึกได้ตรงลักษณะของธาตุรู้ หรือสภาพที่เป็นรูปธรรมที่ปรากฏทางหนึ่งทางใด ในขณะนั้นก็จะทราบได้ว่า เป็นผู้ที่รู้ลักษณะของสติปัฏฐาน และรู้ลักษณะของธรรมทั้งหลาย จนรู้ว่า สิ่งทั้งหลายเป็นธรรมทั้งสิ้น ตรงกับพระพุทธวจนะ ที่ว่า “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” ธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะเมื่อสติระลึกก็ระลึกตรงลักษณะของธรรม รู้ในอาการที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม นั่นคือผู้ที่ชำนาญและรู้ว่า นอกจากธรรมแล้ว ไม่มีอะไร ไม่ว่าจะเป็นทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ลักษณะของธรรมเท่านั้นที่ปรากฏ แล้วก็เป็นธรรมจริงๆ คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

    นั่นคือผู้ที่เข้าใจว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาถูกต้อง เพราะเหตุว่าต้องเป็นธรรมทั้งหลายจริงๆ ถ้าตราบใดที่ยังไม่ใช่ธรรมทั้งหลาย บางกาลก็เป็นธรรม บางกาลก็ไม่ใช่ธรรม แล้วเวลาที่สติระลึก บางครั้งก็ไม่ได้ระลึกตรงลักษณะที่จะรู้ว่า เป็นธรรม ขณะนั้นก็ยังไม่ใช่การอบรมเจริญปัญญาจนรู้ว่า ธรรมเท่านั้นที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ทางตาที่กำลังเห็น ทางหูที่กำลังได้ยิน ทางจมูกกำลังได้กลิ่น ทางลิ้นกำลังลิ้มรส  ทางกายกำลังกระทบสัมผัส ทางใจกำลังคิดนึก แล้วยังจะเป็นลักษณะของสภาพธรรมอื่นๆทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกดีใจ เสียใจ เป็นสุข เป็นทุกข์ เฉยๆ หรือไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ มัจฉริยะ หรืออิสสา หรือสภาพธรรมใดๆก็ตามทั้งหมด ผู้ที่รู้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะสติระลึกตรงลักษณะของธรรม จึงรู้ว่าเป็นธรรมจริงๆ แล้วก็เป็นธรรมเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นก็จะต้องฟังไปอีก และอบรมเจริญปัญญาไปอีก เพื่อที่จะรู้ว่าข้อประพฤติปฏิบัติอย่างไรจะทำให้รู้ได้จริงๆว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตามที่พระอริยสาวกทั้งหลายท่านได้ตรัสรู้แล้ว เพื่อที่จะได้ไม่เห็นผิด

    เพราะฉะนั้นก็จะต้องทราบด้วยค่ะว่า แม้การฟังธรรมก็ควรฟังธรรมที่เป็นสัทธรรม มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นไปกับความเห็นผิด ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดและการปฏิบัติผิดได้


    หมายเลข 7837
    22 ส.ค. 2558