มิจฉาทิฏฐิ [4]


    อริยานํ อทสฺสนกามตาทิ ปทฏฺฐานา มีการไม่อยากเห็นพระอริยะทั้งหลาย เป็นต้น เป็นปทัฏฐาน  คือเป็นเหตุใกล้ให้เกิด

    ผู้ฟัง    อันนี้มันก็น่าคิด ถ้าพุทธบริษัททั้งหลายที่จะไม่อยากเห็นพระอริยบุคคล ผมเชื่อเหลือเกินว่า ไม่มี

    ส.   หมายความว่าไม่มีใครไม่อยากเห็นใช่ไหมคะ แล้วจะรู้ได้อย่างไรคะว่า ที่เห็นนั้นน่ะเป็นพระอริยะหรือเปล่า คนที่เห็นนั่นน่ะ เป็นพระอริยะหรือเปล่า

    ผู้ฟัง    เป็นหรือไม่เป็น เราไม่รู้ครับ แต่อยากเห็นน่ะต้องอยากเห็นแน่ ที่จะบอกว่า ไม่อยากเห็นพระอริยเจ้านั้น ไม่มีแน่

    ส.   ถ้าเป็นความเห็นผิด เช่น พวกเดียรถีย์ปริพาชก เห็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากเห็น หรือไม่อยากเห็นคะ

    ผู้ฟัง    พวกนั้นอาจจะไม่อยากเห็นก็มี เกี่ยวกับลาภ

    ส.   พวกนั้นคือพวกไหน

    ผู้ฟัง    พวกอัญญเดียรถีย์ในครั้งพุทธกาล

    ส.   ก็คือพวกเห็นผิดในครั้งนั้นอย่างไร  ในครั้งนี้ก็ย่อมอย่างนี้นะคะ เพราะฉะนั้นการที่จะได้เห็นพระอริยบุคคล ควรที่จะได้ทราบว่า จะเห็นได้ไหม และจะเห็นได้อย่างไร และคนที่กำลังถูกเห็นอยู่นั้นน่ะ เป็นพระอริยะหรือเปล่า จะรู้ได้อย่างไร

    ที่ว่าอยากเห็น ก็ต้องมีเหตุผลที่ว่า จะเห็นได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเห็นแล้วก็เชื่อว่า นี่เป็นพระอริยะ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีคนบอกว่า พระอรหันต์กำลังเดินมา ก็เชื่อว่านั่นเป็นพระอรหันต์กำลังเดินมา นั่นไม่ใช่เหตุผลค่ะ เหมือนอย่างพวกเดียรถีย์ ถึงแม้ว่าพระผู้มีพระภาคจะเสด็จมา พวกนั้นก็ไม่ได้เชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นวิธีที่จะเห็นพระอริยบุคคลแท้ๆ ก็ต้องมีนะคะ ด้วยปัญญา ไม่ใช่เพียงด้วยการฟังตามแล้วก็เชื่อทันทีว่า พระอรหันต์กำลังมา หรือบุคคลนั้นบุคคลนี้เป็นพระอริยบุคคล

    เพราะฉะนั้นนี่เป็นการพิสูจน์ใจจริงว่า ต้องการเห็นพระอริยบุคคลหรือเปล่า ถ้ายังยึดถือข้อประพฤติปฏิบัติผิด จะยังชื่อว่า ต้องการเห็นพระอริยะไหม แต่ถ้าพิจารณาเหตุผลในข้อปฏิบัติอย่างรอบคอบ อย่างละเอียด อย่างถี่ถ้วน ไม่ใช่ผู้เชื่อง่าย หรือว่าเพียงฟังก็เชื่อ แต่ว่ามีเหตุผลที่จะพิจารณาว่า การที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคลได้นั้น อบรมเจริญปัญญาอย่างไร ถ้ารู้เหตุจริงๆ ที่จะทำให้บุคคลสามารถที่จะเป็นพระอริยบุคคลได้ มีความเข้าใจในเหตุที่จะทำให้เป็นพระอริยบุคคลถูกต้อง ผู้นั้นก็มีโอกาสที่จะเห็นพระอริยบุคคลด้วยปัญญา แต่ถ้าไม่พิจารณาเหตุที่จะทำให้เป็นพระอริยบุคคลว่า อบรมเจริญอย่างไรจึงจะเป็นพระอริยบุคคล ก็จะไม่มีโอกาสเห็นพระอริยบุคคล ซึ่งก็แสดงว่า บุคคลนั้นไม่ได้มีความปรารถนาจริงๆที่จะได้พบพระอริยบุคคล เพราะเป็นผู้ที่เชื่อง่าย เชื่อเสียแล้ว โดยที่ไม่พิจารณาเหตุที่จะทำให้เป็นพระอริยบุคคล

    ผู้ฟัง   ก็มีครับ ส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ พระอริยบุคคลมีเยอะแยะเลย ส่วนใหญ่เอาบุคคลเป็นที่อ้าง ประชาชนไปกันวันหนึ่งเป็นหมื่นเป็นแสน เอาพวกนี้เป็นข้ออ้าง ว่าบุคคลนั้นเป็นพระอริยบุคคล

    ส.   ท่านผู้ฟังจะเห็นได้นะคะว่า แต่ละท่านนี้มีอัธยาศัยอุปนิสัยที่สะสมมาต่างๆกัน แต่ก็จะมีผู้ที่มีเหตุผลและเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผล มิฉะนั้นแล้ว พระธรรมของพระผู้มีพระภาคก็คงจะสูญสิ้นหมดไปนานแล้ว ถ้าไม่มีผู้ที่ฟังพระธรรม แล้วพิจารณาเหตุผลจริงๆ เพราะฉะนั้นบุคคลอื่นแต่ละบุคคลรวมทั้งตัวท่านเอง ก็เป็นผู้ที่สะสมอุปนิสัยต่างๆกันมา เพราะฉะนั้นไม่ต้องคำนึงถึงบุคคลอื่นนะคะ เพราะว่าการที่จะละความเห็นผิดของบุคคลอื่นเป็นเรื่องยาก แต่ควรที่จะได้พิจารณาความเห็นผิดของตนเองว่า มีไหม ถ้ามีก็จะได้ละ เพราะฉะนั้นการที่ตัวท่านเอง เป็นผู้ที่ต้องการเห็นพระอริยบุคคล ก็จะต้องเป็นผู้ที่รู้หนทางที่จะทำให้ผู้นั้นเป็นพระอริยบุคคลเสียก่อน แล้วก็ไม่ต้องห่วงถึงบุคคลอื่นค่ะ เพราะว่าการที่จะให้ทุกคนมีความเห็นถูก เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    ผู้ฟัง การเห็นพระอริยบุคคล เดี๋ยวนี้ผมไม่ตื่นเต้นเสียแล้ว ก็รู้เสียแล้วว่า ในเมื่อได้พบได้เห็นแล้ว คำสอนและคำสนทนาของท่าน ก็คืออย่างนี้ ไม่พ้นไปจากพระไตรปิฎก แล้วปัญญาของเราจะเกิดพรวดพราดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเห็นก็อย่างนั้น ไม่เห็นก็อย่างนั้น ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร

    ส.   ข้อสำคัญทราบไม่ได้ใช่ไหมคะ ว่าใครเป็นพระอริยบุคคล ถ้าบุคคลนั้นไม่ได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล

    ผู้ฟัง ทราบได้แต่ว่าบุคคลนั้นไม่ใช่พระอริยบุคคล แต่ว่าบุคคลนั้นเป็นพระอริยบุคคล ทราบไม่ได้

    ส.   เพราะฉะนั้นถ้ามีใครบอกว่า คนโน้นเป็นพระอรหันต์ คนนี้เป็นพระอรหันต์ ก็ทราบได้ใช่ไหมว่า แม้ผู้ที่กล่าวอย่างนั้น ก็ยังไม่ได้รู้จริง เพราะเหตุว่าผู้นั้นเองก็ไม่ใช่พระอรหันต์

    ผู้ฟัง แน่นอนครับ ถ้าบุคคลใดไม่ได้เจริญสติปัฏฐานแล้ว บุคคลนั้นเป็นพระอรหันต์ไม่ได้แน่นอน เพราะฉะนั้นก็เยอะแยะครับที่คนเราเขาลือกันทุกวันนี้ คนนั้นเป็นพระอรหันต์ คนนี้เป็นพระอรหันต์ แต่ข้อปฏิบัติของท่านมันไม่ใช่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน แล้วเขาจะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร เพราะว่าเรารู้จากแค่นี้ล่ะครับ ผู้ใดไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ผู้นั้นก็ไม่ใช่พระอรหันต์แน่ เพราะเป็นไม่ได้

    ส.   ก็ขออนุโมทนาในความเห็นถูกนะคะ


    หมายเลข 7835
    22 ส.ค. 2558