นามรูปปริจเฉทญาณ - นามปริจเฉท - รูปปริจฉท


    ถ. นามรูปปริจเฉทญาน เป็นปัญญาที่สามารถจะแยกรูปออกจากนาม แยกนามออกจากรูป ไม่ปะปนกัน แต่ไม่ทราบชัดที่เป็นธัมมานุปัสสนาท่านบอกว่า นามรูปปริจเฉท

    ท่านอาจารย์ และทรงจำแนกแต่ละบรรพไว้ มหาสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างเรื่องของกายที่ยึดถือว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์เป็นบุคคล ดังนั้นสติจึงควรระลึก แต่การที่สติจะระลึกเป็นไปในกาย เป็นได้หลายลักษณะ หลายบรรพ เป็นต้นว่าลมหายใจก็เป็นส่วนของกายที่มีจริง เมื่อระลึกส่วนของกายที่เป็นลมหายใจก็รู้ชัดในลักษณะของรูปที่ประชุมรวมกันเป็นลมหายใจขึ้น ปัญญาจะต้องรู้ชัดแต่ละลักษณะ หมวดอิริยาปถบรรพก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะยืน เดิน นั่ง หรือนอน ก็มีส่วนของกายที่ปรากฏลักษณะที่เป็นรูปให้รู้ชัดว่าไม่ใช่ตัวตน หรือว่าสัมปชัญญบรรพ ก็มีส่วนของกายที่ปรากฏให้รู้ชัดในลักษณะของรูปที่ไม่ใช่ตัวตน กายทั้งหมดเป็นรูปทั้งนั้นแล้วแต่สติจะระลึกรู้ส่วนใด จะระลึกรู้ส่วนที่เป็นอานาปานะคือลมหายใจ หรือว่าจะระลึกรู้ส่วนที่ปรากฏในขณะที่กำลังทรงอยู่ตั้งอยู่ในอิริยาบถใด หรือว่าจะระลึกรู้ส่วนที่ปรากฏในขณะที่เคลื่อนไหวเหยียดคู้เป็นสัมปชัญญบรรพ หรือว่าจะระลึกรู้ส่วนที่เป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ปฏิกูลมนสิการบรรพ นั่นก็เป็นการกระจัดกระจายสิ่งที่ประชุมรวมกันโดยปัญญารู้ชัดในลักษณะของรูปแต่ละรูปที่ประชุมรวมกัน ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนว่าในเรื่องของกายนั้นเป็นการระลึกรู้ชัดในลักษณะของธาตุดินน้ำไฟลมโดยส่วนรวม การที่จะเจริญสติปัฏฐานโดยบรรพเดียวไม่ทำให้เกิดแม้แต่ญาณที่ ๑ ถ้าระลึกรู้เฉพราะนามไม่รู้ลักษณะของรูป ไม่สามารถที่จะรู้ชัดได้จริงๆ ว่า สภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ในขณะนั้น ไปเอารูปมาเป็นนามหรือไม่ เพราะว่าปัญญาไม่ได้รู้ชัดในลักษณะที่ต่างกันของสภาพธรรมที่เป็นรูปกับสภาพธรรมที่เป็นนาม ด้วยเหตุนี้เพียงสติปัฏฐานเดียวจึงไม่สามารถที่จะถึงนามรูปปริจเฉทญาณได้ และในธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานก็เป็นเครื่องชี้ชัดยืนยันว่า มีทั้งนามและรูปเป็นอารมณ์ที่จะให้ปัญญารู้ชัดตามความเป็นจริง โดยส่วนใดที่ไม่ได้แสดงไว้ในหมวดของกายที่เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในหมวดของเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ในหมวดของจิตตานุปัสนาสติปัฏฐาน สภาพธรรมอื่นทั้งหมดเป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานประการหนึ่ง แล้วอีกประการหนึ่งไม่ว่าท่านจะพิจารณากาย หรือเวทนา หรือจิต จะพ้นจากธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐานไม่ได้เลย

    นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นเพียงญาณขั้นต้นเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงขั้นรู้แจ้งอริยสัจจธรรมเลย แล้วจะไปเลือกทำไมว่าจะเอาบรรพนั้นบรรพนี้ จะรู้เฉพาะรูปนั้นรูปเดียว อันอื่นยากนัก อย่างกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน นอนก็จะไม่รู้นี่ก็จะไม่รู้ ไปจงใจเลือกเฟ้นด้วยความเห็นผิดยึดมั่นในข้อประพฤติปฏิบัติ ซึ่งควรจะได้กล่าวถึงกิเลสทั้งหมดท่านจะได้ทราบว่าขณะที่เจริญสติหรือว่าท่านเข้าใจว่าท่านปฏิบัตินั้นจะมีสีลัพพตปรามาสกายคันถะขณะไหน อย่างไร แล้วก็เป็นถึงสีลัพพตุปาทานหรือไม่ ซึ่งกว่าที่จะบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้ ท่านจะต้องรู้ สำเหนียก ละ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ สีลัพพตุปาทาน ท่านถึงจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ถ้ายังไปติดอยู่กับข้อประพฤติปฏิบัติที่คลาดเคลื่อน ไม่มีหนทางเลยที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เมื่อการตั้งต้นไม่ถูก การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าไปติดอยู่ที่หนึ่งที่ใดด้วยความเห็นผิด ก็ไม่สามารถที่จะละความเห็นผิดนั้นไป ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้


    หมายเลข 6662
    8 ต.ค. 2566