ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ


    ผู้ฟัง ขั้นแรกๆ ในการฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม ก็ไปลงตรงที่ว่าธรรมชาติ

    ท่านอาจารย์ เราก็เริ่มคิดเองแล้วค่ะ คิดถึงธรรมชาติ เริ่มคิดถึงอย่างอื่น แต่ว่าจริงๆ ธรรมคือสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างทางตา มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เราจะต้องเข้าใจในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ และสภาพที่สามารถเห็นสิ่งนั้นได้ นี่คือเราเข้าใจธรรม แต่ถ้าเป็นเรื่องราวเมื่อไหร่ ก็คือว่าขณะนั้นเราไม่ได้ศึกษาธรรม เราไปคิดถึงเรื่องราวของธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ ถ้า เราค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่อยู่ที่อื่นเลย เดี๋ยวนี้ฟังไปเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ว่าขณะนี้เป็นธรรม และก็รู้ตามความเป็นจริงว่าแล้วเมื่อไหร่ ปัญญาจะสามารถรู้ว่าเป็นธรรม นี่ก็แสดงว่า ที่ฟังเริ่มต้น ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงตัวธรรมได้ เพียงแต่ว่าเริ่มได้ยินเรื่องราวของธรรม เหมือนคนที่อยู่ในความมืด ยังไม่เห็นอะไรเลยสักอย่างตามความเป็นจริง แต่เริ่มได้ยินพระธรรม ที่จะทำให้รู้ว่าตรงนี้มีอะไร คือตรงนี้มีธรรม มีสิ่งที่ลึกซึ้งมาก มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้าไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งนี้เกิดปรากฏไม่ได้เลย

    แต่สิ่งใดก็ตามที่ปรากฏ หมายความว่าสิ่งนั้นเกิดแล้ว ถึงแม้เราจะยังไม่รู้ แต่โดยเหตุผล ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดจะปรากฏได้ยังไง เพราะฉะนั้น เห็นความลึกซึ้งได้เลยว่าขณะนี้เหมือนมีสิ่งที่ปรากฏแล้ว โดยไม่รู้ว่าเกิดขึ้น แล้วจะไปรู้ตอนไหนว่าเกิด ก็มีอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม เพราะว่าสิ่งนั้น ก็ไม่ได้ปรากฏว่าดับ แล้วจะมีสิ่งที่เกิดให้รู้ได้ยังไง ว่าขณะนี้มีสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ นี่คือการฟังให้เข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่มีจริงๆ เป็นการศึกษาธรรม และคำทุกคำที่ใช้ ในภาษาหนึ่งๆ ก็เพื่อที่จะส่องไปถึง ลักษณะของสภาวธรรมให้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมจนกว่าเราจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น มีใครคิดว่าฟังแล้วก็เข้าใจได้เลยทันทีไหมคะ ต้องฟังนาน เพียง แต่ว่าเป็นธรรม เดี๋ยวก็ลืม เดี๋ยวก็ลืม เพราะว่าคุ้นเคยกับความหลงลืม และคุ้นเคยกับความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็จะมีแต่ความคิด และก็ความทรงจำ เวลาที่ฟังธรรมนี่ก็ เริ่มที่จะมาทรงจำ และก็คิดเรื่องราวของธรรม แต่อย่างนั้นก็ยังเป็นความคิดอีกนั่นแหล่ะ ไม่ใช่ลักษณะของธรรมจริงๆ ซึ่งแต่ละอย่างก็ปรากฏแต่ละทางได้

    เพราะว่าจริงๆ แล้วธรรมก็คืออย่างนี้ ไม่ว่าเราจะฟังครั้งไหนก็ตาม ถ้าเป็นความที่สามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ นั่นคือการศึกษาของเราถูกต้อง เพราะว่าเราพูดถึงเรื่องสิ่งที่มีจริงๆ ให้รู้ว่าไม่มีใครสามารถที่จะหลีกเลี่ยง หนีไม่พ้น เห็น ได้ ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน และความจริงของสิ่งนั้นคืออะไร

    เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นสิ่งที่มีจริงแล้ว ลึกซึ้ง เพราะว่าต้องเป็นพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงบำพ็ญพระบารมี และก็ตรัสรู้ความจริงเรื่องเหมือนธรรมดาๆ อย่างนี้ แต่สามารถให้เราประจักษ์ได้ถึงความไม่ใช่เรา ไม่เป็นตัวตน ไม่มีอะไรเลยนอกจากมีสภาพธรรมที่จะปรากฏได้เฉพาะแต่ละทาง และก็ไม่ยั่งยืนด้วย เพราะว่าเมื่อปรากฏแล้วก็หมดไปๆ แต่เมื่อไม่รู้อย่างนี้ และผู้ตรัสรู้ๆ อย่างนี้ เราก็ต้องอบรมเจริญปัญญาจนกว่า จะค่อยๆ รู้อย่างนี้ได้ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท คือไม่คิดว่ารู้แล้วในสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ ๑


    หมายเลข 4892
    28 ธ.ค. 2566