แสวงหาความตาย


        อ.อรรณพ ตราบใดที่มีความไม่รู้ ก็แสวงหาความเกิดความตาย ไปทุกภพชาติ แต่ถ้ามี ปัญญาก็แสวงหาอย่างประเสริฐ คือการพ้นจากความเกิดความตาย


        ท่านอาจารย์ เมื่อเกิดมา แล้วก็แสวงหาสิ่งที่เกิดหรือเปล่า

        อ.อรรณพ แสวงหาสิ่งที่เกิด

        ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าที่เกิด ที่ว่าเป็นเรา คือเพราะมีการเกิด ก็ยังแสวงหาไม่ว่าอะไรทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิด ไม่เกิดจะมีได้อย่างไร

        อ.อรรณพ จะแสวงหามือถือดีๆ สักอันหนึ่งนั้น

        ท่านอาจารย์ นั่นแหล่ะ ต้องเกิด ไม่เคยจะมีให้ได้หรือ เมื่อเป็นผู้ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ก็ยังแสวงหาสิ่งที่เกิด

        อ.อรรณพ แสวงหาดอกไม้

        ท่านอาจารย์ ก็ต้องมีดอกไม้เกิด

        อ.อรรณพ แสวงหาความรู้สึกสบายๆ

        ท่านอาจารย์ ความรู้สึกสบายๆ ก็ต้องเกิด ไม่เกิดจะมีหรือ

        อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็คือแสวงหาสิ่งที่เกิด

        ท่านอาจารย์ แน่นอน และตัวเองก็เกิด เมื่อมีความเกิดเป็นธรรมดา ยังแสวงหาสิ่งที่เกิด

        อ.อรรณพ มีความเป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีความไม่รู้อยู่ จึงต้องมีการเกิดมา แล้วเมื่อเกิดก็ยังไม่รู้ แล้วก็ยังหาสิ่งที่เกิด แล้วสิ่งนั้นก็จะต้องดับ เพราะฉะนั้นก็จะสอดคล้องกับข้ออื่นด้วยทั้งหมด ว่ามีความตายเป็นธรรมดา ถ้าจะเอาให้สลดใจ มีความตายเป็นธรรมดา และยังแสวงหาสิ่งที่เป็นมรณะ เป็นความตายอีกอย่างไร

        ท่านอาจารย์ แน่นอน แสวงหาอะไร สิ่งนั้นก็ตาย คนไหนก็ต้องตาย จะแสวงหาคนที่พอใจ ที่รักใคร่ เป็นญาติ เป็นพี่น้องยังไงก็ตามแต่ ก็ต้องตาย

        อ.อรรณพ ทราบชัดโทษในสิ่งที่มีความเกิดเป็นธรรมดา คืออย่างไร จึงจะแสวงหาสิ่งที่ไม่เกิด คือพระนิพพาน

        ท่านอาจารย์ เกิดแล้วไม่ตายมีหรือไม่

        อ.อรรณพ เกิดแล้วต้องตาย เพราะฉะนั้นแสวงหาอะไรเป็นธรรมดา

        อ.อรรณพ แสวงหาความเกิด และความตาย

        ท่านอาจารย์ เกิดแล้วไม่ตายมีหรือไม่

        อ.อรรณพ ไม่มี

        ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วต้องตาย

        อ.อรรณพ ต้องตาย

        ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้วแสวงหาความตาย ใช่หรือไม่

        อ.อรรณพ สิ่งนั้นเกิด สิ่งนั้นก็ต้องตาย ก็คือเท่ากับแสวงหาความตาย

        ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่ต้องตายก็ไม่จบ เพราะไม่ว่าจะชอบอะไร สิ่งนั้นต้องตาย ต้องหมดทั้งสิ้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม

        อ.อรรณพ อาจจะขัดกับความรู้สึกนึกคิด ของคนที่ยังไม่ได้เข้าใจธรรม เขาบอกว่าเขาเกิดมา เขายอมรับว่าเขาต้องตาย แต่จะบอกว่าเขาแสวงหาความตาย เขาคงไม่เห็นอย่างนั้น เพราะเขาพยายามไม่ตาย

        ท่านอาจารย์ แต่ว่าต้องตาย

        อ.อรรณพ ต้องตายแต่เขาไม่แสวงหาที่จะให้ตาย เพราะแสวงหาเพื่อไม่ให้ตาย เพื่อให้อยู่สักร้อยยี่สิบ

        ท่านอาจารย์ เพื่อแสวงหาสิ่งที่เขาพอใจใช่หรือไม่ แล้วสิ่งนั้นก็ตาย เรียกว่าเขาแสวงหาความตายหรือไม่

        อ.อรรณพ แต่เขาไม่รู้

        ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ทั้งหมด ทั้งหมดทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับให้เข้าใจถูกต้อง จากคนที่ไม่รู้สักคำ ที่พระองค์ตรัส เพราะเขาไม่ได้สนใจที่จะฟัง

        อ.อรรณพ แล้วทราบชัดโทษในสิ่งที่มีการเกิดเป็นธรรมดา

        ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เห็นโทษหรือยัง

        อ.อรรณพ ไม่เห็นอะไรเลย

        ท่านอาจารย์ ไม่เห็นก็ต้องบอกว่าสิ่งที่เกิดนั่นแหละ ดับทุกขณะแล้วไม่เหลือ เห็นโทษหรือไม่ กว่าคำนี้จะลงไปถึงใจอย่างมั่นคง เพราะไม่มีอะไร เพียงแต่เกิด จากไม่มีก็เกิด แล้วก็หมดไป ไม่กลับมาอีกเลย เหมือนเดิมที่ไม่มี แล้วอยู่ไปทำไม แค่เกิดมาเห็น เกิดมาได้ยิน เกิดมาคิด เกิดมาชอบสิ่งซึ่งเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังไม่เข้าใจอย่างนี้ก็ไม่เห็นโทษ ต่อเมื่อเห็นโทษว่า แล้วมีประโยชน์อะไร จากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ คือไม่มีอีกเลย หายไปเลย แล้วจะมีทำไม เพียงชั่วขณะที่เกิด และยังไม่ดับ ถ้ายังไม่เห็นโทษอย่างนี้ ก็เกิดไปสิ ใช่หรือไม่ ก็ชอบที่จะมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่รู้ว่าแท้ที่จริงไม่มี ไม่มีแน่นอน เพราะสิ่งใดที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นดับ ถ้าไม่ประจักษ์ความจริงอย่างนี้ ในขณะนี้ ละความเป็นตัวตนไม่ได้ เพราะยังรวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องแต่ละหนึ่งๆ เกิดจริงๆ ดับจริงๆ ให้ปรากฎ ว่าไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ไม่เป็นของใครไม่ใช่ใคร ไม่มีอะไรเหลือ แล้วจะเป็นอย่างนี้ไปในสังสารวัฎซึ่งเป็นมาแล้วอย่างนี้ แล้วจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ พ้นจากนี้ออกจากนี้ไม่ได้เลย

        ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ ไม่เห็นว่าเป็นความทรมาน ใช่หรือไม่ จะต้องเป็นอย่างนี้อีกนานแสนนานนับไม่ถ้วนเลย คือไม่มีทางออกจากการที่จะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าตราบใดยังแสวงหาอย่างนี้ ก็เป็นอย่างนี้ เพราะว่าไม่ได้แสวงหาสิ่งที่ประเสริฐ คือไม่เกิดอีกเลย

        อ.อรรณพ ตนเองเป็นผู้มีกิเลสเป็นธรรมดา ตอนนี้จะมีสองพวก คือพวกที่เป็นการแสวงหาที่ไม่ประเสริฐ ตัวเองมีกิเลสเป็นธรรมดา แล้วก็ยังแสวงหากิเลสนั้นอีก กับผู้ที่เป็นการแสวงหาประเสริฐ คือรู้ว่าตนเป็นผู้มีกิเลสเป็นธรรมดา แต่ก็ทราบชัดในกิเลสเป็นธรรมดานั้น แล้วก็ย่อมแสวงหาสิ่งที่พ้นจากกิเลสไป คือพระนิพพาน

        ท่านอาจารย์ ถ้าเห็นโทษของกิเลส อยากมีกิเลสไหม

        อ.อรรณพ ถ้าเห็นโทษ ก็ไม่อยาก

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยังมีกิเลสเพราะยังไม่เห็นโทษของกิเลส

        อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็เป็นคำอธิบาย ทราบโทษ แต่คงยังไม่ทราบชัด อันนี้คือทราบชัดโทษในกิเลส

        ท่านอาจารย์ ถ้าทราบต่อไป รู้ขึ้นอีกหรือไม่ ต่อไปรู้ขึ้นอีกหรือไม่ นี่คือการเป็นผู้ที่เป็นโพธิสัตว์ สาวกโพธิสัตว์ ไม่ถึงความเป็นพระมหาสัตว์หรือพระมหาโพธิสัตว์ คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่จากความเข้าใจถูกต้องทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นโพธิสัตว์ สัตว์ที่ข้องในการที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง คือความจริงเดี๋ยวนี้ ก็จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ความจริงทนต่อการพิสูจน์ คำที่ว่าขณะนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้น และดับไป ต้องปรากฏแน่นอน แต่กับปัญญาเท่านั้นที่ได้อบรมแล้ว เพราะว่าขัดเกลากิเลส และความติดข้อง คลายความไม่รู้ จนสภาพธรรมนั้นปรากฏได้


    หมายเลข 11484
    2 มี.ค. 2567