ศีลที่ทำให้สิ้นอาสวะ


        อ.อรรณพ ศีลคืออะไร และศีลที่จะเป็นไปเพื่อดับกิเลส คืออย่างไร


        อ.อรรณพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล

        ท่านอาจารย์ ดูเหมือนธรรมดาภิกษุเป็นผู้มีศีล ๒๒๗ ข้อ ครบหรือไม่ครบ แค่นี้ก็ไม่รู้แล้ว หรือแม้แต่บวชเพื่ออะไร ทำไมจึงบวช จริงใจ และตรงต่อความจริงหรือไม่ว่า ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรม มีความเข้าใจเห็นประโยชน์อย่างยิ่งระดับไหน ที่จะสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตเพื่ออะไร เพื่อกระทำสิ่งที่ยาก เหมือนพระโพธิสัตว์ในครั้งอดีต เพราะว่ายังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมตราบใด ก็ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ตราบนั้น ไม่ว่าใครทั้งหมดเลย ต้องมีบารมีคือความจริงใจ ที่เป็นผู้ตรงต่อธรรม ว่าทุกอย่างเป็นประโยชน์ เมื่อได้ถูกต้องตามความเป็นจริง แม้แต่การฟังธรรม ประโยชน์จริงๆ อยู่ที่ไหน ไม่ใช่ไปชวนกันฟังมากมายเยอะแยะ แต่ไม่เข้าใจ นั่นคือไม่ใช่ประโยชน์ จะเสียเวลานานสักเท่าไหร่ บอกว่าฟังธรรมมาหลายปี แต่ว่าประโยชน์อยู่ที่เข้าใจคำที่ได้ฟัง ว่าคำนั้นกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน นี่ต้องตรง แต่ละคำเช่นศีล คิดถึงอะไร ศีล ๕ หรือว่าศีล ๘

        อ.อรรณพ คนทั่วไปพอได้ยินคำว่าเป็นผู้มีศีล ก็คิดถึงศีล ๕ ศีล ๘ หรือของพระก็ ๒๒๗ เลย

        ท่านอาจารย์ แล้วศีลทั่วไปกับทุกคนหรือไม่ หรือต้องเฉพาะชาวพุทธเท่านั้น เป็นเรื่องของความรู้ ความเข้าใจทั้งหมดเลย แม้แต่คำเดียว เช่นคำว่าศีล ถ้าไม่มีธาตุรู้ คือจิต เจตสิก จะมีศีลหรือไม่ ไม่มี จิต เจตสิก เดี๋ยวนี้เป็นศีลหรือไม่ ยังไม่ต้องไกล แค่ขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ เป็นศีลหรือไม่ เพราะเหตุว่าว่าถ้าไม่มีจิต เจตสิก จะมีศีลได้อย่างไร จะมีอกุศลธรรม และกุศลธรรมได้อย่างไร แต่เพราะมีธาตุรู้ และธาตุรู้หลากหลายมาก หลากหลายมากคือ แต่ละหนึ่งคนในโลกนี้ทั้งหมด หลากหลายหรือไม่ เพราะจิตหลากหลาย ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่ใคร ชาติหนึ่งชาติใดเลยทั้งสิ้น แต่ธรรมต้องเป็นธรรม จิตเป็นจิต สัตว์มีจิตหรือไม่

        อ.อรรณพ มี

        ท่านอาจารย์ มีศีลหรือไม่ คือถ้าเราไม่พูดให้เข้าใจ เราก็คิดว่าเราพูดเรื่องง่ายๆ เรื่องศีลใครๆ ก็รู้จัก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง จนถึงที่สุด ซึ่งไม่ใช่ของใคร และไม่ใช่ใคร แต่เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ ๆ เท่านั้น ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อสัตว์ เต่า นก ปู ปลาก็มีจิต มีศีลหรือไม่ ถ้าคนอื่นฟังก็บอกว่าจะมีได้ยังไง เป็นสัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักอะไรเลย แต่ความจริงศีลคือความเป็นไป เป็นปกติของจิต และเจตสิก

        ถ้าเข้าใจถูกต้อง ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่าศีลคืออะไร ศีลคือความเป็นไป เป็นปกติของธาตุรู้ คือจิต และเจตสิก ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นเป็นธรรม เป็นศีลด้วยหรือไม่ เป็นปกติของจิต ซึ่งเป็นไปในกุศล จึงใช้คำว่ากุศลศีล แต่เวลาที่ขณะใด ธาตุรู้ สภาพรู้คือจิต เจตสิก เป็นไปในอกุศล ขณะนั้นเปลี่ยนเป็นกุศลได้หรือไม่ ไม่ได้ แต่ว่าเป็นความเป็นไปแล้วที่เป็นไปในอกุศล จึงเป็นอกุศลศีล

        พระธรรมไม่ฟังได้หรือไม่ แล้วจะเข้าใจได้หรือไม่ แล้วจะตรงได้หรือไม่ แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือไม่ นี่คือความประมาทอย่างยิ่งที่คิดว่า เพียงแค่ได้ยินคำว่าศีล ก็รู้แล้ว แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย จะได้ฟังคำที่ไม่เคยได้ยิน เพราะเหตุว่าคำนั้นต้องตรัสโดยผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ด้วยเหตุนี้ถ้าเป็นศีลทางฝ่ายอกุศล ก็มีการที่ทุจริตต่างๆ เป็นต้น แต่ทางฝ่ายกุศล เรารู้จักกันเพียงแค่ชาวบ้านก็คือศีล ๕ ถ้ามากกว่านั้นอีก ก็เป็นศีล ๘ ศีล ๕ ครบหรือไม่ บางคนบอกว่า เป็นอย่างไร ได้กี่ข้อ แต่ว่าความจริง ๕ ข้อนับไป ใครนับได้ก็แค่นับ จริงหรือไม่ แต่ว่าไม่ได้พิจารณาจิตของตนเองเลย ว่าเดี๋ยวนี้เป็นศีลแน่นอน แต่ศีลประเภทไหน

        ธรรมทั้งหมดเป็นเครื่องส่อง ให้เห็นสิ่งที่กำลังมี โดยไม่เคยรู้มาก่อน มืดสนิท ไม่เคยรู้จักจิต ไม่เคยรู้จักเจตสิก ไม่รู้จักรูปตามความเป็นจริง ทั้งหมดถูกซ่อนหรือปกปิดไว้มิดชิดด้วยสิ่งที่ปรากฏ เพราะเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครสามารถที่จะเปิดเผย สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ คือจิตเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร รู้ไม่ได้เลย สนุกสนานไป เพลิดเพลินไป ทุกข์ไป สุขไป ไม่รู้เลยว่า นั่นคือธาตุรู้ ซึ่งเป็นจิต ไม่ใช่เรา พูดเองคำว่าศีลคำเดียว ศีลในที่นี้ต้องหมายความถึงอะไร

        อ.อรรณพ ถ้าเป็นในข้อที่ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ก็ต้องหมายถึงศีลที่เป็นกุศลศีลที่ดีงาม

        ท่านอาจารย์ เพราะว่าอกุศลไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรม แม้ขณะที่ได้ฟังเดียวนี่ เดี๋ยวนี้มีธรรม เราพูดถึงธรรม แต่อกุศลไม่สามารถที่จะเข้าใจ รู้ความจริงของธรรมได้ แต่กุศลธรรม ความดีงามเท่านั้น ซึ่งขณะนั้นไม่มีสิ่งที่ปิดบังเหมือนอย่างอกุศล แต่ถึงกระนั้นก็ตาม กุศลมีหลายประเภท กุศลใดที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ขณะนั้นก็เป็นเพียงแค่การเว้นทุจริตอย่างที่ชาวบ้านหรือทุกคนเว้นกัน คือเว้นการฆ่าสัตว์ เว้นการถือเอาสิ่งของที่คนอื่นไม่ได้ให้ แต่ข้อนี้ดูจะยากเหลือเกิน สำหรับขณะนี้ซึ่งเป็นภาวะของชาวโลกทั่วโลก ไม่ได้เข้าใจโทษของการที่จะมีการทุจริตต่างๆ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ จิตระดับนั้นเป็นระดับที่ปิดบัง เห็นว่ามีเรา และคิดว่าการกระทำอย่างนั้นถูกต้อง ก็นำมาซึ่งโทษภัยต่างๆ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะดับกิเลสได้ อกุศลศีลทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้รู้แจ้งสภาพธรรม แม้กุศลศีลก็ต้องแล้วแต่ว่าเป็นประเภทใด ถ้าเป็นประเภททาน การสละวัตถุที่สามารถที่จะเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ไม่ใช่เพื่อหวังผล แต่ทานขณะนั้นก็ไม่ได้ประกอบด้วยปัญญา ไม่ได้รู้ว่าขณะนั้นอะไร เหมือนกับเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ว่าอะไรนี่อะไร ได้ยินอย่างนี้อะไร ได้ยินอย่างนี้อะไร นี่คือคนเริ่มฟังธรรมหรือไม่ คนเริ่มรู้จักธรรมจริงๆ หรือไม่ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลย นั่นอะไร ที่ได้ยินเมื่อสักครู่นี้ มีตั้งหลายเสียง ใช่หรือไม่ นี่คือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว เสียงเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริงเสียงเป็นแค่เสียงที่สามารถจะกระทบหู แล้วก็ปรากฎว่าสิ่งนี้มีจริงชั่วขณะที่ปรากฏ

        การฟังธรรมแม้ว่าจะได้ยินได้ฟังแล้วๆ เล่าๆ บ่อยๆ เนืองๆ หลากหลายมากตามที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่ความเข้าใจของแต่ละคน กว่าจะถึงความจริง ซึ่งพระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ ก็หมายความว่า เราต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ตอนนี้รู้แล้วว่า เดี๋ยวนี้ก็ไม่รู้ เป็นอกุศลศีล กุศลศีลตามปกติในชีวิตประจำวัน ทานบ้าง ศีลบ้าง ความสงบของจิตขณะไหนบ้าง ขณะที่เมตตา ขณะที่ไม่คิดร้ายต่อใคร ขณะนั้นก็เป็นความสงบของจิต ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ จนกว่าศีลนั้นประกอบด้วยปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แค่นี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนใช่หรือไม่ เห็นถูกในอะไร ในสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ จึงจะนำไปสู่การดับกิเลสได้ ผู้ที่เป็นภิกษุคือผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏ ถ้าผู้ใดก็ตามแม้เป็นคฤหัสถ์ แต่เห็นภายในสังสารวัฏ ก็เป็นความหมายของภิกษุด้วย เพราะเป็นผู้ที่รู้ว่า เป็นสิ่งที่สามารถที่จะค่อยๆ เห็นภัยได้ จากการที่ได้ฟังพระธรรม ไม่เคยเห็นภัยของสังสารวัฏ ทั้งๆ ที่เดี๋ยวนี้ แต่ละหนึ่งขณะ เป็นสังสารวัฏ ไปหาสังสารวัฏที่ไหน ถ้าไม่มีจิต เจตสิก เกิดดับสืบต่อไม่ขาดสายเลย นานแสนนานมาแล้ว จนกระทั่งถึงเมื่อวานนี้ เมื่อเช้านี้ วันนี้ เดี๋ยวนี้ ต่อไปอีก ก็เป็นสังสารวัฏแต่ละหนึ่งขณะ เห็นภัยอะไร แต่ไม่ได้เห็นภัยในสังสารวัฏ ในสภาพธรรมที่ขณะนี้กำลังเกิดดับสืบต่อ ภิกษุหรือภิกขุ ก็คือผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏ ถ้าไม่เห็นภัยก็คงจะไปนั่งฟังให้เข้าใจธรรม ภิกษุเป็นผู้ที่มีศีล แต่แค่นี้ไม่พอ ต้องประกอบด้วยปัญญาที่สามารถ ที่จะเข้าใจว่า หนทางที่จะรู้ความจริงที่จะดับกิเลส คือความไม่รู้ทั้งหมด ซึ่งนำมาซึ่งความไม่ดี ทุจริตทั้งหมด ก็ด้วยปัญญาที่ค่อยๆ รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ต้องเข้าใจด้วยว่า ศีลที่นี่ ไม่ใช่ศีลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา


    หมายเลข 11481
    2 มี.ค. 2567