วันคืนแห่งความเจริญ


        อ.อรรณพ วันคืนแห่งความเจริญคือ มีชีวิตเป็นไปด้วยปัญญาที่รู้สภาพธรรมที่กำลัง ปรากฏในขณะนี้ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง


        อ.วิชัย บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว

        ท่านอาจารย์ ได้ไหม ฟังธรรมไม่ใช่ให้ทำตาม ถ้าทำตามไม่เข้าใจความเป็นอนัตตา ตั้งแต่ต้นเลย ที่จะต้องตรงต่อคำว่า ไม่ควร เพราะทำไม่ได้ แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยรู้ว่า อะไรเป็นความถูกต้อง ก็อาศัยปัจจัยนั้น ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น โดยไม่ใช่เรา พอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควร ก็ไม่ควรเสียเลย โดยไม่รู้เลยว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา บังคับบัญชาไม่ได้ จึงไม่ใช่ว่า ฟังคำไหนก็ข้ามไปเลย แต่ทุกคำต้องเข้าใจ ถ้าติดข้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่มีทางจะเข้าใจว่าติดข้องในอะไร เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร และดับแล้วด้วย ควรที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่มี ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไรเลย คิดว่าก็อย่างนี้ไม่ควรติดข้อง ทำอย่างไรได้ แต่เมื่อเข้าใจว่าสิ่งนี้จริงๆ แล้ว ไม่มี มีเมื่อเกิด แล้วดับเลย ไม่กลับมาอีก ควรติดข้องหรือไม่

        อ.วิชัย ลึกซึ้งมากท่านอาจารย์ ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นไม่มีแล้วจะไปติดข้องได้อย่างไร

        ท่านอาจารย์ กว่าจะรู้ว่าไม่มี ก็ต้องรู้ก่อนว่า อะไรเป็นอะไร แต่ละหนึ่งธรรมเป็นหนึ่งธรรม ซึ่งเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ไปบังคับว่าไม่ให้เกิด หรือว่าให้ตั้งอยู่นานๆ จะได้รู้เร็วๆ แต่ว่าฟังแล้วก็มั่นคงในความจริงว่า สิ่งนี้ไม่มีใครสามารถจะบังคับบัญชา แต่ไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่รู้ แล้วก็ให้คนที่ได้ฟัง เริ่มเข้าใจถูกต้อง ตรงกับที่ได้ตรัสไว้ ไม่ว่าจะในกาลไหน แม้แต่คำนี้ก็ไม่ใช่ให้คนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไปสอนกันไปบอกกัน ไม่ควรติดข้อง ใครก็พูดได้ แต่ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไปให้ทำ แต่ต้องรู้ในความเป็นอนัตตาของธรรมแต่หนึ่ง ควรหรือไม่ที่จะฟัง และเข้าใจทีละคำ และตามความเป็นจริง ฟังอย่างนี้ เข้าใจด้วย ความจริงก็เป็นอย่างนั้นด้วย แต่ไม่สามารถที่จะละ หรือว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว หรือสิ่งที่ยังไม่มาถึง เพราะเกิดตามเหตุตามปัจจัย

        อ.วิชัย ท่านอาจารย์ แล้วไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง หวัง ความหวังก็มี

        ท่านอาจารย์ เช่นเดียวกัน หวังอะไร

        อ.วิชัย อย่างเช่นหวังจะมีความเข้าใจธรรมเยอะๆ

        ท่านอาจารย์ ยังไม่เคยไม่ใช่หรือ

        อ.วิชัย ยังไม่เกิด

        ท่านอาจารย์ แล้วหวังได้อย่างไร อย่างอื่นเกิดแทนความเข้าใจก็ได้ ทุกอย่างไม่เป็นไปเพราะหวัง แต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เห็น เห็นอะไร เห็นชีวิตตามความเป็นจริง ไม่ใช่ทั้งหมดอยู่ในตำรา อยู่ในพระสูตรนั้น คัมภีร์นี้ แต่ชีวิตจริงๆ นี่เอง ที่ทรงแสดงให้เห็น ให้เข้าใจว่า หวังอะไรได้หรือไม่ ยังหวังอยู่ก็เดือดร้อน สิ่งนั้นไม่ได้เกิดเป็นไปตามหวัง เดือดร้อนแล้ว เพราะไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา หวังก็คือ แค่คิดด้วยความต้องการ แล้วก็หมดไป เห็นไม่ใช่หวัง การฟังธรรมที่จะรู้ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือว่า เข้าใจแต่ละคำมั่นคง ว่าไม่ใช่เราที่จะไปบังคับหรือว่าโดยไม่รู้ ก็คิดว่านี่ไงต้องดีขึ้น ต้องมีศีล ต้องอะไร เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ แต่หารู้ไม่ว่า เหตุที่จะให้เกิดอย่างนั้น ใครสามารถบอกได้ โดยละเอียดอย่างยิ่งที่จะต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจ

        อ.วิชัย ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ ได้ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด

        ท่านอาจารย์ ตอนนี้ยังไม่ปรุโปร่งแน่ ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นกำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ละคำเลย อีกครั้งหนึ่ง ซ้ำ

        อ.วิชัย ก็บุคคลใดเห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน

        ท่านอาจารย์ ถึงหรือยัง เห็นแจ้งธรรมปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น เห็นหรือยัง ยังเลย แต่จะเป็นอย่างนั้นต่อเมื่อเข้าใจขึ้นๆ จึงมั่นคงขึ้นๆ ไม่ง่อนแง่น ว่าการรู้ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวนี้คือ ไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้ายังไม่ถึงความไม่ง่อนแง่น ก็ยังง่อนแง่นไปเรื่อยๆ ใช่ไหม หวังอะไรหรือไม่ เดี๋ยวนี้เอง หวังอะไรหรือไม่

        อ.วิชัย หวัง ก็ยังง่อนแง่นอยู่

        ท่านอาจารย์ หวังทำไม ในเมื่อจะเป็นจริงอย่างที่หวังหรือไม่ ก็ไม่รู้ แล้วยังหวัง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเพื่อที่จะได้เข้าใจรู้ความจริงว่าบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ให้หวังได้ไหม ชีวิตจริงประจำวันเลย ไม่ให้หวังก็ไม่ได้ แต่มีประโยชน์หรือไม่ที่จะหวัง หวังแล้วขวนขวายต้องการสิ่งที่หวัง กลับไม่หวัง แล้วก็ไม่ขวนขวาย แต่รู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร ต่างกันไหม เห็นหรือไม่ระหว่างความหวังไป แต่ไม่รู้ว่าความจริงขณะนั้นเป็นอะไร ปัญญาความเห็นถูก ความเข้าใจถูกจริงๆ ต้องเริ่มจากการที่ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง แล้วเป็นจริง หวังก็มีจริง ห้ามก็ไม่ได้ แต่รู้หรือไม่ว่าขณะนั้นเป็นอะไร ไม่ใช่เรา ยังง่อนแง่นอยู่มากใช่หรือไม่ ภัทเทกะ ภัททะ กับ เอกะ

        อ.คำปั่น ภัททะคือเจริญ เอกะคือหนึ่ง

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเป็น ภัทเทกะ

        อ.คำปั่น รวมกันเป็นภัทเทกะ เป็นคำสนธิกัน

        ท่านอาจารย์ เมื่อคืนนี้เจริญหรือไม่ คืนนี้จะเจริญหรือไหม ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ ไม่ใช่เฉพาะกลางคืน วัน และคืนรวมกัน แต่ละคำเพื่อที่จะให้ผู้ที่เห็นคุณของพระธรรม ได้รู้ว่ากิเลสที่มีมาก ความไม่รู้มีมาก ทุกอย่างมีมาก จะค่อยๆ ละคลาย ไม่ใช่หมดสิ้น แต่ค่อยๆ ละคลาย เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และก็ไม่ใช่เราด้วย แต่ต้องเป็นปัญญาที่ฟังแล้วเข้าใจถูกต้อง ก็ละความไม่รู้ มีหรือไม่ที่แต่ละคำของพระองค์ ไม่ทรงเตือน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ณ พระวิหารเชตวัน ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ภูเขาคิชฌกูฏ หรือว่าระหว่างเสด็จจาริกแวะประทับที่ไหน ทั้งหมดทุกคำเป็นประโยชน์ที่ทรงเตือน และไม่ใช่แค่เพียงเราอ่านเผินๆ เคยอ่านสูตรนี้แล้ว เคยได้ฟังสูตรนี้แล้ว แต่วันนี้ประโยชน์อยู่ที่ตรงสามารถที่จะรู้คุณจริงๆ หรือไม่ ว่าไม่ใช่เราบังคับบัญชาได้ ผู้ที่ได้สามารถเข้าใจก็คือ ผู้ที่ได้อบรม จากความเข้าใจแต่ละหนึ่งขณะ ในแต่ละหนึ่งวัน หรือถ้าไม่มีเลย ก็วันไหนก็คือวันนั้นที่ได้เข้าใจ วันไหนก็คือวันนั้นที่กำลังอบรมเจริญขึ้น


    หมายเลข 11472
    11 มี.ค. 2567