สิ่งที่สะสมในจิต


        อ.อรรณพ ทั้งดี และชั่ว เกิดแล้วดับแล้ว แต่สะสมสืบต่อไว้ในจิต จนกว่าปัญญาจะเจริญ และดับการสะสมส่วนที่ไม่ดีได้ตามลำดับ


        ผู้ฟัง คนที่ถามเขาถามว่า เกิดดับแล้วไม่กลับมาอีก แล้วอะไรละที่สะสมไว้ในจิต

        ท่านอาจารย์ สิ่งที่เคยเกิดแล้วดับไป กาแฟดื่มหมดถ้วย มีคราบเหลือไหม ดื่มคราบกาแฟ ใครจะดื่มคราบกาแฟบ้าง แต่สิ่งที่ยังเหลือต้องมี ในฐานะที่เมื่อเกิดแล้วก็เหมือนคราบ หรือสิ่งที่อยู่ในจิตอย่างละเอียด ที่ได้เกิดแล้วสะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ใครก็เอาออกไม่ได้ กิเลสด้วยความไม่รู้มีหลายระดับอย่างที่ไม่รู้เลยจริงๆ ขณะที่นอนหลับสนิท โลกไม่ปรากฏ ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ พ่อแม่ พี่น้อง เป็นใครก็ไม่รู้ ขณะนั้นกิเลสที่ได้เคยเกิดแล้วในสังสารวัฏ ไม่ได้หายไปเลย อยู่ในจิตซึ่งกำลังเกิดดับสืบต่อ แม้ในขณะที่หลับสนิท ก็มีธาตุรู้ ซึ่งดำรงภพชาติ จนกว่าจะถึงขณะสุดท้าย ที่กรรมทำให้สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ แม้ขณะจิตเดียวก็ขอไม่ได้ ซื้อไม่ได้ ถึงเวลาที่กรรมใด สิ่งใด จะเป็นปัจจัยให้เกิดอะไร ก็ต้องเกิด เพราะว่าเป็นธรรม ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ชอบครั้งหนึ่งเกิดแล้ว เห็นอีกชอบสิ่งนั้นหรือไม่ ที่เคยชอบชอบดอกบัว เห็นดอกบัวชอบหรือไม่ เพราะเคยชอบใช่ไหม เหมือนเลย เหมือนกับสิ่งที่เคยเห็น เคยชอบ แต่การชอบครั้งก่อนไม่ได้มีในขณะนั้น แต่สิ่งที่เคยเกิดแล้วนั้น สะสมแล้วอยู่ในจิต ไม่ว่าดีหรือชั่ว กุศลธรรมหรืออกุศลธรรม ไม่ใช่ใครสักคน ธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งทรงแสดงไว้โดยละเอียด ว่าธรรมมากมายมหาศาล แต่ก็สามารถที่จะประมวลเป็นธรรมที่ต่างกันเป็นสองอย่าง คือธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ไม่ใช่ธาตุรู้ คำว่าธรรมกับคำว่าธาตุ ธา-ตุเหมือนกัน มาจากศัพท์เดียวกัน หมายความถึงสิ่งที่มีจริง ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทรงไว้ซึ่งสภาพนั้น สภาพที่เกิดจริง มีจริง แต่ไม่รู้ เป็นรูปธาตุ ภาษาบาลีก็ต้องออกเสียงว่ารูปธรรม แต่คนไทยก็ตัดสั้น และก็ไม่รู้หรอกว่ารูปธาตุ รูปธรรม คืออะไร แต่ก็พูด พูดจนผิด จนไขว้เขว แต่ว่านั่นคือภาษาไทย

        ถ้าศึกษาธรรมก็ต้องเริ่มเข้าใจธรรมในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนา จึงใช้คำว่าปาละ หรือปาลี คนไทยก็เรียกว่าบาลี แต่ละคำก็คือมี เกิด ดับ สะสม แต่ว่าหลายระดับ เช่นเคยโกรธหรือไม่ โกรธแล้วดับแล้ว แต่โกรธที่ดับไปแล้วสะสมอยู่ในจิต แต่ไม่ใช่ตัวขณะจิตที่เกิดขึ้นทำกิจโกรธ แต่ว่าธาตุที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็สามารถที่จะปรุงแต่งจิตแต่ละขณะ เพิ่มไปๆ ในสังสารวัฎก่อนจะเป็นคนนี้ เราไม่ได้เป็นคนนี้ เราเป็นใครมากี่ชาติ โกรธมากี่ชาติ รักมากี่ชาติ เสียสละมากี่ชาติ ดีมากี่ชาติ ไม่ได้สูญหายไปเลย ทั้งดี และชั่วสะสมอยู่ในจิต เพียงหนึ่งขณะจิต แต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งทันทีที่ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ เหมือนทุกอย่างที่จิตขณะนั้นดับไป สะสมสืบต่อจนถึงวันนี้ และขณะนี้จนถึงพรุ่งนี้ สิ่งที่เราได้ฟังวันนี้ก็ไม่ได้สูญหาย แต่ว่าเสียงหมดแล้ว การได้ยินขณะนี้หมดแล้ว ความเข้าใจเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่อันนั้น แต่ปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะถึงอภิสมัย สมัยที่ไม่มีในสังสารวัฏ คือการรู้แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ฟัง ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่เข้าใจธรรม ที่กำลังได้ฟัง ไม่ใช่เพียงอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ธรรมยาก ใครจะให้ธรรมง่าย


    หมายเลข 11469
    8 มี.ค. 2567