เห็นเป็นผลของกรรม


        อ.อรรณพ สภาพธรรมแต่ละอย่างเป็นแต่ละอย่างต่างกันไป และเกิดจากเหตุปัจจัย เช่น เห็น เป็นธรรมที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย แต่คิดเป็นธรรมที่เกิดจาก การสะสมกุศลหรืออกุศลไม่ใช่ผลของกรรม


        ท่านอาจารย์ คุณมลมี ๓ คำใช่หรือไม่ มีตื่นขึ้นมาเห็น และก็กรรม กับวิบาก แต่ละคำต้องเข้าใจให้ชัดเจน เห็นเป็นอะไร

        ผู้ฟัง เห็นเป็นวิบาก

        ท่านอาจารย์ ทำไมว่าเป็นวิบาก

        ผู้ฟัง เพราะเป็นผลของกรรม

        ท่านอาจารย์ ทำไมว่าเป็นผลของกรรม เห็นหรือไม่ การศึกษาเพื่อเข้าใจไม่ใช่จำชื่อ มีเห็นแล้วเขาบอกว่าเห็นเป็นวิบากก็จำเลย เห็นเป็นวิบาก

        ผู้ฟัง เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง

        ท่านอาจารย์ แต่ยังไม่รู้ความจริงของเห็น แล้วก็จำแต่ชื่อ ว่าเห็นเป็นวิบากถ้าอย่างนั้นก็เป็นการจำชื่อ เห็นเป็นเห็น เป็นอื่นไม่ได้ แต่ไม่เข้าใจเห็น

        ผู้ฟัง เห็นเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย มีเหตุให้เกิดเห็น เห็นก็เกิด ปัญญายังไม่ถึงขั้นนั้น ก็ฟังต่อไป

        ท่านอาจารย์ เข้าใจจริงๆ แม้แต่ แต่ละคำว่าเห็นเป็นวิบาก วิบากคืออะไร ทำไมเห็นเป็นวิบาก ไม่อย่างนั้นก็ ได้แต่จำชื่อเห็นเป็นวิบาก ไม่ประมาทเลยว่าแม้แต่คำว่าวิบาก ซึ่งหมายความถึงผลของกรรม แล้วบอกว่าเห็นเป็นผลของกรรม ตราบใดที่ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ ก็เป็นแต่เพียงจำ และพูดตามว่าเห็นวิบาก เป็นผลของกรรม แต่ลองคิด เห็นหนึ่งขณะ ขณะเดียว แต่เวลาคิดไม่ใช่ขณะเดียว หลายขณะ ถูกต้องหรือไม่ ถ้าได้ศึกษาพระอภิธรรมแล้ว จะแสดงจิตแต่ละหนึ่งขณะ เกิดดับสืบต่ออย่างละเอียด และแสดงกิจหน้าที่ของจิตซึ่งเกิดขึ้นแต่ละขณะ ว่าทำหน้าที่อะไร เดี๋ยวนี้คือจิต เจตสิกทั้งหมดที่เกิดขึ้นทำหน้าที่ โดยเราไม่รู้ ว่าแท้ที่จริงสภาพธรรม ที่เห็นจริงๆ เพียงหนึ่งขณะใช้คำว่าจักขุ คือตา วิญญาณ สภาพรู้ที่ต้องอาศัยตา ถ้าไม่มีตาไม่สามารถที่จะเกิดสภาพที่เห็น สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ก็ปรากฏไม่ได้เลยว่ามี

        อย่างคนตาบอดไม่มีทางจะรู้เลย ต่อให้อธิบายสักเท่าไร เขาก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ว่าเห็นคือเห็นอะไร อย่างไร แต่พอมีตา เห็น ไม่ต้องบอก ไม่ต้องอธิบาย เห็นก็เป็นเห็น แต่เป็นเรา ความต่างอยู่ที่ว่า สภาพธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แต่ว่าไม่ได้เข้าใจถูกตามความเป็นจริง ว่าเป็นแต่เพียงธรรม แต่ละหนึ่งๆ จริงๆ แล้วถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ตั้งแต่ต้น ไม่มีทางที่ปัญญาความเห็นถูก จะมากพอเจริญขึ้น จนประจักษ์แจ้งธาตุรู้ที่กำลังเห็น นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        เราได้ยินคำว่าธาตุ ธา-ตุ สิ่งที่มีจริง เปลี่ยนแปลงลักษณะของสิ่งนั้นไม่ได้เลย เห็นเพียงแค่เกิดเห็น นี่คือเห็นเท่านั้น แล้วก็ดับไป แล้วก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย ว่าจะเห็นอะไร เห็นดอกไม้ หรือเห็นงู เลือกไม่ได้ แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีปัจจัยที่จะให้สิ่งนั้นปรากฏกับสภาพซึ่ง กำลังเห็น ซึ่งเลือกไม่ได้ ก็แล้วแต่กรรม ที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดเห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ เหตุที่ดีก็นำมาซึ่งผลที่ดี เมื่อเหตุดีแล้ว ผลที่ดีก็คือว่า ได้เห็นสิ่งที่น่าพอใจ ได้ยินเสียงที่น่าพอใจ ได้กลิ่น ได้รส ได้รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกายที่น่าพอใจ เป็นผลของเหตุที่ดี ถ้าเป็นเหตุที่ไม่ดี จะนำผลต่างๆ เหล่านี้มาให้ไม่ได้เลย ปรารถนา หวังสักเท่าไร กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ธรรมต้องเป็นไปตามเหตุ แต่แค่นี้ก็ยังไม่พอ รู้อย่างนี้ก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่ายังไม่เห็นความต่างกัน ของเห็นหนึ่งขณะกับคิด ก่อนจะถึงคิดมีสภาพธรรม ซึ่งเป็นจิตเกิดดับสืบต่อหลายขณะ ไม่ปรากฏเลย แต่มี เราสามารถจะเข้าใจสิ่งที่มี ที่ปรากฏ ให้รู้ได้เท่านั้น แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ยิ่งกว่านี้ ทันทีที่จิตเห็นดับ จิตอะไรเกิดสืบต่อ จนกว่าจะเป็นการคิดว่า สิ่งที่ปรากฏนี้คืออะไร เราจะเห็นได้ เห็นหนึ่งขณะบังคับบัญชาไม่ได้ แต่คิดหลายขณะ แล้วก็ต่างคนก็ต่างคิด เพราะฉะนั้นคิดไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นผลของการสะสมว่า สะสมความคิดที่ดี หรือสะสมความคิดที่ไม่ดี

        เห็นสิ่งเดียวกัน คนหนึ่งคิดดี อีกคนหนึ่งคิดไม่ดี แต่เห็นเหมือนกัน เพราะว่าเห็นเป็นหนึ่งขณะ ซึ่งเป็นผลของกรรม เกิดมาเห็นเท่านั้นเอง เกิดมาเห็น ไม่ได้ทำกรรมอะไรเลย แค่เกิดมาเห็น ขณะนั้นก็เป็นผลของกรรม แต่เห็นแล้ว หลังจากนั้นแล้ว เป็นเหตุที่จะให้เกิดกรรมต่อไป ถ้าเราไม่กล่าวถึงสภาพของจิตโดยละเอียด ที่เกิดสืบต่อกันแต่ละขณะ เท่าที่เราจะเข้าใจได้ เราก็เริ่มเข้าใจว่า ขณะนี้ที่เห็น เคยเป็นเราเห็น เคยเป็นเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความจริง เห็นไม่ใช่การรู้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เห็นเป็นเห็นหนึ่งขณะ จึงเป็นผลของกรรม เลือกไม่ได้ และแค่เห็น

        อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ถามว่า ทำไมเห็นถึงเป็นผลของกรรม จริงๆ แล้วถ้าจะตอบได้จริงๆ ก็คือต้องรู้ตรงในลักษณะของธาตุเห็น แล้วก็รู้ในลักษณะของธาตุคิด

        ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจมาก่อน อย่างไรๆ ก็ไม่รู้ การฟังธรรมจึงมีความเข้าใจ ๓ ระดับ ระดับที่หนึ่ง เข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ไม่ใช่ไร้สาระ มีสาระ มีสิ่งที่มีจริง ซึ่งคำนั้นแสดงความจริงของสิ่งนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คำว่าเห็น สำหรับคนอื่น ก็ไม่สามารถที่จะทำความเข้าใจให้กระจ่าง ว่าเห็นเป็นผลของกรรม เพียงแค่เกิดมาเห็น ผลของกรรมคือ ตั้งแต่เกิด เกิดมาเลือกไม่ได้ ผลของกรรมไม่ใช่เฉพาะเห็น ต้องรู้ว่าตั้งแต่เกิดขณะแรกที่เกิด เพราะกรรมที่ได้ทำมาในสังสารวัฏฏ์ เป็นปัจจัยที่จะชาตินี้เป็นคนนี้ ชาติก่อนเป็นใคร ก็ไม่มีใครสามารถจำได้ ชาติต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นใคร แต่ต้องรู้ว่ามาจากเหตุที่ได้ทำแล้ว กรรมหนึ่ง ในบรรดากรรมทั้งหลาย ทำให้แต่ละหนึ่งเกิดมาหลากหลายมากมาย ชาติก่อนรูปร่างหน้าตาอย่างนี้หรือไม่ แม้แต่รูปร่างหน้าตาชาติก่อนยังไม่ใช่อย่างนี้เลย แต่ชาติเป็นอย่างนี้ แล้วชาติหน้าจะเป็นอย่างนี้ไหม ก็แล้วแต่เหตุ เป็นสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ เพราะว่าไม่ได้อบรม

        การที่เห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจ และก็รู้ว่าแสนที่จะลึกซึ้งยากที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังด้วยความเคารพจริงๆ ที่จะเพื่อเข้าใจ ในพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ ใครก็ไม่ได้ยิน ไม่สามารถที่จะเข้าใจว่า เห็นขณะนี้เป็นผลของกรรม และในชาติหนึ่ง กรรมเริ่มต้นให้ผลในขณะแรก คือเกิด เป็นผลของกรรมหนึ่งขณะเอง และหนึ่งขณะจิตใครอย่าไปประมาณเลย ไม่มีทางที่จะรู้ได้เลย เพราะเดี๋ยวนี้กี่ขณะก็ไม่รู้ เห็นดับไปมากมายหลายขณะ และก็มีจิตอื่นสลับคั่น กว่าจะรู้ว่าเห็นเป็นอะไร นี่คือปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อัศจรรย์ที่ว่า สิ่งที่มีแต่ถูกปกปิด ใครก็รู้ไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม แล้วฟังด้วยความเข้าใจว่า เลือกเกิดไม่ได้ และหนึ่งขณะจิตที่เกิด อะไรเป็นปัจจัย ที่ทำให้หลากหลาย ก็ต้องเป็นกรรมหนึ่ง ที่ทำให้หลากหลาย

        และขณะนี้กำลังเป็นกรรมหรือไม่ เป็น ชาติหน้าถ้าเป็นผลของกรรมนี้ ก็หลากหลายอีกตามเหตุของชาตินี้ การฟังขณะนี้จิตของแต่ละคนก็หลากหลาย ความเข้าใจระดับขั้นต่างๆ สะสมมากับสภาพธรรมอื่น สังขารปรุงแต่ง ไม่มีใครรู้ เหมือนอย่างแม่ครัว คนครัว ทำอาหารหม้อหนึ่ง คนนึงใส่เกลือมาก อีกคนหนึ่งใส่เกลือน้อย อาหารประเภทเดียวกัน แต่รสชาติก็ต้องผิดกัน ถึงแม้ว่ากำลังฟังด้วยกัน แต่ว่าความวิจิตรของจิต ซึ่งเป็นกรรม ซึ่งละเอียด ไม่ใช่เห็น เห็นจะละเอียดวิจิตรอย่างกรรมไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเป็นผลของกรรม ที่เกิดขึ้นเพียงเห็น ก่อนที่เราจะคิดไปถึง ว่าแล้วเห็นนี้นำมาซึ่งอะไรบ้างหลากหลาย ก็ยังไม่เข้าใจเห็นจริงๆ

        ก็รู้ว่าการฟัง ฟังเรื่องราวมากมาย แต่ประโยชน์จริงๆ ก็คือเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มี ทีละเล็กทีละน้อย โดยไม่ประมาทเลยว่า ถ้าไม่มีการเข้าใจอย่างนี้ ไม่นำมาซึ่งการที่จะรู้แจ้งสภาพที่กำลังเป็นอย่างนี้ได้เลย เพราะไม่ใช่เรา แต่เป็นการเข้าใจที่ค่อยๆ เหมือนกับจับด้ามมีด กว่าจะสึก จับแผ่วๆ ด้วย แตะๆ เบาๆ ตามกำลังของปัญญา ยังไม่หนักแน่น มั่นคง มีกำลัง ที่จะทำให้สึกไปได้ ก็เป็นสิ่งซึ่งค่อยๆ ฟังค่อยๆ พิจารณา และก็เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าการที่ได้ฟังแต่ละครั้ง ไม่ใช่ฟังแล้วจำชื่อ ใครก็พูดได้ เห็นเป็นวิบาก แต่วิบากอย่างไร กว่าจะมาถึงตัวเห็นเดี๋ยวนี้จริงๆ ซึ่งไม่ต้องไปนั่งเรียกว่าเห็นเป็นวิบาก แต่ตรงเห็นหนึ่งขณะ เป็นธาตุรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งเลือกไม่ได้

        เกิดมาแล้วโดยกรรมทำให้หลากหลาย และชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายก็มีผลของกรรมขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ขณะที่ได้กลิ่น ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย เท่าที่วันหนึ่งๆ จะรู้ได้ แต่ว่าความละเอียดมีมากกว่านั้นอีก แต่เมื่อรู้ไม่ได้ เราฟังทำไม ฟังเพื่อให้เห็นความไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่ฟังเพื่อจะไปอยากรู้โน่น อยากรู้นี่ นั่นเป็นอย่างไร นี่เป็นอย่างไร เกิดสืบต่อกันอย่างไร ทำไมตทาลัมพนะจึงเป็นอย่างนี้ หรืออะไร ไม่ใช่อย่างนั้นเลย รู้ได้หรือไม่ ถ้ารู้ไม่ได้ก็ฟังให้เข้าใจว่า สิ่งที่คนอื่นรู้ไม่ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงเพื่อให้เห็นว่าไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เท่าที่จะรู้ได้ในชาตินี้ ก็คือว่า เกิดเป็นผลของกรรม แล้วก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรม ที่เหลือไม่ใช่ผลของกรรม ที่สามารถจะรู้ได้

        เห็นความลึกซึ้งของธรรมหรือไม่ ฟังเข้าใจ แต่พอถึงเวลาจะรู้จริงๆ ไม่ต้องเรียกชื่อ แต่ทั้งหมดขณะหนึ่งเป็นกรรม อีกขณะหนึ่งเป็นผลของกรรม ไม่ต้องเรียกชื่อเลย ฟังอย่างไรก็ตาม ยังไม่ถึงปัญญาขั้นรู้ลักษณะจริงๆ นี่อีกขั้นหนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่การประจักษ์แจ้ง ซึ่งรู้ได้เลยว่า ขณะที่เห็น กำลังรู้เห็น ไม่ได้รู้อย่างอื่น และขณะที่กำลังคิดนึก ก็รู้คิดนึก ไม่ใช่รู้เห็น เริ่มเห็นความต่าง โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย ธรรมต่างอย่างนี้ แม้แต่เดี๋ยวนี้ เห็นก็ไม่ใช่คิด แต่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ก็เพื่อที่จะให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งรู้ตรงตามที่ได้ทรงแสดง ซึ่งเป็นจริงโดยไม่ต้องพูด แต่ที่ทรงแสดงเพราะเหตุว่าถ้าไม่อาศัยคำแต่ละคำ ใครจะสามารถเข้าใจธรรมได้

        ด้วยเหตุนี้แม้จะฟังคำอธิบายต่างๆ แต่ถ้าธาตุรู้ไม่ได้ปรากฏ เช่นเห็น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ธาตุรู้ คิด ธาตุรู้ แต่ไม่ใช่เห็น ถ้าถึงการที่จะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ว่ารู้คืออย่างไร ทางนี้ ทางตารู้ก็คือ มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ทางตา จะเป็นคิดไม่ได้ จะเป็นการหลับสนิท ไม่เห็นก็ไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ ว่าเป็นอย่างนี้ เมื่อสภาพธรรมปรากฏเมื่อไร เมื่อนั้นปัญญาที่เกิดจากการฟัง เริ่มเจริญขึ้นอีกระดับหนึ่ง คือเริ่มรู้จักสภาพธรรมที่เพียงเอ่ยชื่อมานานแสนนาน เหมือนกับเราไม่รู้จักคนนั้นเลย แต่ก็ฟังเรื่องเข้ามาเป็นเท่าไหร่ดี กี่ชาติก็ตามแต่ จนกว่าจะปรากฏให้เรารู้จักได้ จะปรากฏให้รู้จักได้ แต่ว่าจะรู้จักทันที จะรู้จักได้อย่างไร ถูกปิดบังไว้หมด ด้วยความไม่รู้ ว่าแท้ที่จริง แต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่งจริงๆ

        เพราะฉะนั้นกว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา จะเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งใดเลยทั้งสิ้น มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏ เพราะเกิดดับสืบต่อ จึงเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แล้วก็จำรูปร่างสัณฐาน แต่ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่กระทบตาปรากฏเกิดดับ จะไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ ปรากฏได้เลย การฟังธรรมก็ต้องละเอียดขึ้น เพื่อละคลายความไม่รู้เท่านั้นเอง อย่าได้ไปคิดหวังอะไร หรือว่าต้องการอะไรเลย เพราะนั่นเป็นเครื่องกั้น แต่ความเข้าใจต่างหากที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นๆ ผิดจากการที่ไม่เคยได้ฟัง ไม่เคยได้เข้าใจมาก่อน

        ก็จะรู้ได้ว่า ที่ว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ก็คือสามารถเข้าถึงลักษณะของธาตุรู้เดี๋ยวนี้ ที่ปรากฏให้รู้ และก็เลือกไม่ได้ด้วย แล้วปรากฏโดยต้องมีความเข้าใจมาก่อน เพราะว่าถ้าไม่มีความเข้าใจมาก่อน ยังไงก็เหมือนเดิม คือเห็นเป็นคน เป็นสัตว์ และก็ปะปนแล้วก็สืบต่อ จนไม่สามารถที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้ นี่ก็เป็นปัญญาต่างระดับ ซึ่งจะต้องมาจากการที่ฟังเข้าใจก่อน


    หมายเลข 11462
    12 มี.ค. 2567