เวลาที่มีกุศลจิตเกิดหมดความเป็นเราไหม


        สุ. เพราะเหตุที่อกุศลเกิดบ่อยมาก ก็ทำให้ไม่เห็นแม้กุศลที่เกิดเพียงเล็กๆ น้อยๆ อย่างขณะนี้เห็นใช่ไหม แล้วก็ฟังธรรม ได้ยินเสียง รู้ลักษณะที่เป็นกุศลไหม

        ผู้ฟัง ไม่ทราบ

        สุ. แต่มีแล้วใช่ไหม เห็นไหม รู้ว่าหลังจากที่เห็นแล้ว และเห็นสิ่งที่ปรากฏนั้นยังไม่ดับ ขณะนั้นเป็นอะไร เราเรียนมาแล้วทั้งหมดเลย เราฟังมาแล้ว เห็นมี และสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดดับเร็วมาก แต่ก็มีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ เพราะฉะนั้นจิตเกิดดับเร็วกว่ารูปๆ หนึ่ง เพราะฉะนั้นเห็น และสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ยังไม่ดับ รู้ไหมว่าเมื่อเห็นแล้วจิตประเภทไหนเกิด

        ผู้ฟัง ก็ต้องเป็นกุศล หรืออกุศล

        สุ. ตรงตามความเป็นจริงว่าประเภทไหน

        ผู้ฟัง ก็อกุศล

        สุ. เพราะฉะนั้นขณะนี้มีอกุศลไหม

        ผู้ฟัง มี

        สุ. รูปยังไม่ดับ และก็มีรูปปรากฏวาระหนึ่ง แล้วก็มีเสียง แล้วก็แล้วแต่ว่าขณะนั้นมีความพอใจในเสียง แล้ววาระหลังๆ ก็มีการคิดนึกถึงความหมายไตร่ตรองเป็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็แยกไม่ออกจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น แต่ให้ทราบว่าจิตต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่มีแต่เฉพาะจิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

        ผู้ฟัง บางครั้งขณะที่เราเห็น หรือได้ยิน เฉยๆ พอเฉยๆ ขึ้นมา ความเป็นตัวเรา หรือจากการที่ได้ศึกษาสภาพธรรม หรือว่าได้ฟังธรรม ก็ทำให้เราไขว้เขวอยู่เสมอๆ แยกไม่ออกเลยว่าสิ่งนั้นคืออกุศล หรือกุศล

        สุ. ถ้ายังไม่รู้ว่าสภาพนั้นไม่ใช่เรา ก็แยกไม่ออก แต่อาจจะคิดถึงชื่อ และพยายามที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่เป็นไปในทาน ไม่เป็นไปในศีล ไม่เป็นไปในความสงบของจิต ไม่ใช่เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือการเข้าใจธรรม หนีไม่พ้นอกุศล ต้องเป็นอกุศลแน่นอน

        ผู้ฟัง ทีนี้ลักษณะของสภาพธรรมที่ยังมีความเป็นตัวตนอยู่ แม้ว่าขณะนั้นยังเป็นกุศลจิต มันจะมีความต่างไหมกับลักษณะของปรมัตถธรรมที่เป็นสภาพของกุศลจิตจริงๆ

        สุ. กุศลมีหลายระดับ ขณะที่กำลังเป็นเราเพราะเหตุว่ามีอนุสัยกิเลสยังไม่ดับไป เพราะฉะนั้นเวลาที่มีกุศลจิตเกิด ไม่ใช่หมายความว่าขณะนั้นหมดความเป็นเรา แต่ว่าเพียงแต่ว่าขณะนั้นทิฏฐิเจตสิกที่ยึดถือในความเป็นเรา ไม่ได้เกิดขึ้นร่วมด้วยในขณะที่เป็นกุศล นี่เป็นความละเอียดของธรรมที่ถ้าอบรมเจริญปัญญาต่อไปก็จะได้รู้ความจริงว่าทุกอย่างตรงตามที่ทรงแสดงทุกอย่าง

        ผู้ฟัง ลักษณะของกุศลจิต เวลาเรากระทำในสิ่งที่ดีก็ทำให้เราตรึก หรือนึกในการกระทำของตัวเราว่าเราทำดี พอเราคิดขณะนี้จากการศึกษามันก็อกุศลจิต มันไม่ใช่ลักษณะของกุศลจิต

        สุ. ทีนี้เวลาที่กำลังทำดี สังเกตพิจารณาจิตไหมว่าขณะนั้นที่ว่าดี จิตเป็นยังไง จิตไม่โกรธจึงทำดีได้ขณะนั้น เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าสภาพของจิตในขณะที่ทำดี ให้รู้ความจริงถ้าพูดถึงจิต ไม่ได้หมายถึงการกระทำของรูป แต่หมายความถึงสภาพของจิตในขณะนั้น อย่างอ่อนน้อม การอ่อนน้อม การแสดงความเคารพต่อผู้ที่ควรเคารพควรอ่อนน้อม ขณะนั้นความอ่อนน้อม ความนอบน้อมทางกายก็ต้องเกิดจากจิตที่อ่อนน้อมด้วย แต่ว่าถ้าเกิดจะกระทำด้วยความไม่อ่อนน้อมด้วยความไม่จริงใจ ใครรู้ ก็ตัวเองก็รู้ เพราะฉะนั้นสภาพของจิตที่เกิดก็มีลักษณะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่สามารถจะค่อยๆ เข้าใจถูกต้องได้

        ผู้ฟัง แต่ว่ามีความพึงพอใจ หรือว่าชอบใจที่จะกระทำ

        สุ. ก็เร็วมาก จิตเกิดดับเร็วมาก นี่เป็นเหตุที่ว่าแยกไม่ได้เพราะความรวดเร็วของจิต อย่างขณะนี้ที่กล่าวที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดงคือมีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเกิดดับ ก็รู้ไม่ได้แล้ว และจะไปรู้อะไรอย่างอื่นอีก เหมือนอยู่ในโลกของความคิดนึกเพราะไม่ได้ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมที่ปรากฏ แล้วก็คิดถึงแต่เรื่องราวสิ่งที่ปรากฏว่ายั่งยืน เป็นจริง อย่างถ้าเห็นใครที่นี่แล้ว จำได้เลย ความจริงจิตเกิดดับนับไม่ถ้วน จำได้แล้วไม่ลืม กลับไปก็ยังคิดถึงอีกได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าสภาพของจิตเกิดดับเร็วมาก กว่าจะรู้ตามความเป็นจริงว่าจิตเป็นธาตุที่มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 227


    หมายเลข 11186
    20 ม.ค. 2567