ความมั่นคงที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม


        สุ. จริงๆ แล้วการฟังธรรม ไม่ว่าจะฟังธรรมมาก เรื่องอะไร เมื่อไหร่ก็ตาม จุดประสงค์คือเพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจเลย เราได้ยินคำว่า “จิต” ก็ทราบว่าเป็นธาตุที่สามารถที่จะรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ ขณะที่เกิดมาแล้วก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดมาแล้วต้องเห็นใช่ไหม แต่ไม่เคยรู้ที่ขณะนี้กำลังเห็นไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงชนิดหนึ่งซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานสามารถที่จะเห็นแจ้งในสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือขณะนี้ ฟังเพื่อให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม จุดประสงค์ของการฟังเพื่อเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ขณะนี้เสียงปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา จิตเป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งในเสียงๆ แต่ละเสียงต่างกันไปเพราะเสียงเกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ต่างกัน และจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งเสียงที่ปรากฏจึงรู้ว่าเสียงแต่ละเสียงต่างกัน ถ้าจิตไม่ใช่สภาพที่รู้แจ้งอารมณ์ เราก็ไม่สามารถที่จะรู้ความต่างของรูปแต่ละขณะ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจได้เลย แต่เราฟังธรรมแล้วเราก็ลืมว่าเป็นธรรม ฟังธรรมแต่เป็นเราเห็น และก็เราได้ยิน เป็นเราคิดนึก เพราะฉะนั้นการฟังต้องฟังจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรมตามที่ได้ฟัง ไม่ใช่กำลังฟังนี่เป็นเรากำลังฟังธรรม ขณะนั้นก็คือว่าไม่ได้เข้าใจธรรมว่าธรรมเท่านั้นที่มีจริง มีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วธรรมก็ต่างกันเป็นจิต เป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ เจตสิกก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่างเลย เป็นสภาพรู้เกิดกับจิต จะไม่เกิดที่อื่นเลย นอกจากเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต ไม่ว่าจิตจะรู้อารมณ์อะไร มีอะไรปรากฏให้จิตรู้ เจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็รู้อารมณ์นั้นโดยฐานะต่างๆ กันตามสภาวธรรมของเจตสิกแต่ละประเภท

        เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่จิตเห็นไม่ใช่มีแต่เฉพาะจิตที่เห็น ต้องมีเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย แล้วถ้ารู้ว่าจิตที่เห็นเป็นวิบากเป็นผลของกรรมๆ เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นฉันใด กรรมก็เป็นปัจจัยให้วิบากเจตสิกเกิดร่วมกับจิตที่เห็น และวิบากเจตสิกนั้นๆ ก็ทำกิจหน้าที่ของวิบากของเจตสิกนั้นๆ แต่ละประเภทซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของจิต และไม่ใช่หน้าที่ของวิบากเจตสิกอื่น แต่ก็เป็นวิบากเจตสิก แล้วแต่ว่าเป็นอะไรก็ทำหน้าที่นั้นในขณะนั้นก็เป็นวิบากร่วมกันทั้งจิต และเจตสิก

        เพราะฉะนั้นไม่ลืมฟังธรรมกำลังเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ สะสมเป็นความเห็นถูกจนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมโดยไม่ไปติดที่คำ เพราะเหตุว่าแต่ละภพแต่ละชาติเราจะใช้ภาษาไหน เรารู้ไม่ได้เลย เราเกิดที่เมืองไทย เราใช้ภาษาไทย เราเข้าใจภาษาไทย แต่ถ้าเราเกิดที่ประเทศอื่น และสะสมความรู้ความเห็นถูกในธรรม ฟังคำในภาษานั้นก็สามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ได้

        ด้วยเหตุนี้ไม่ใช่เราฟังแล้วเราจะต้องไปจำคำ แต่เราเข้าใจคำที่ได้ฟัง เช่นคำว่า “กุศล” และมีคำว่า “ชาติ” ใช่ไหม จะได้ยินบ่อยๆ ว่า “กุศลชาติ” แล้วถ้าคนที่ไม่เคยศึกษาธรรมเลย เขาก็จะไม่เข้าใจ กุศลชาติคืออะไร แต่ถ้าบอกว่าจิตเกิดขึ้นเป็นกุศล เข้าใจได้ไหม จิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล จิตเกิดขึ้นเป็นวิบาก จิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา เพราะว่าจิตเป็นสภาพที่เกิดแล้วก็ดับ เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัจจัยที่จิตจะเกิดขึ้นเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดจะเป็นอื่นไม่ได้ เช่นขณะที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นจิตที่เกิดเป็นกุศล คำว่า “ชาติ” หรือ ”ชา+ติ” คือการเกิดๆ เป็นกุศล เกิดเป็นอกุศล ด้วยเหตุนี้ถ้าเราใช้คำภาษาไทย และก็เข้าใจแม้คำในภาษาบาลี ถ้าเราเข้าใจว่าจิตเป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็นวิบากก็มี เป็นกิริยาก็มี

        เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ยินคนอื่นพูด ผู้ที่อาจจะอ่านตำราหรือศึกษาธรรมก็จะบอกว่ากุศลชาติ อกุศลชาติ วิบากชาติ กิริยาชาติ เราก็สามารถที่จะเข้าใจได้โดยที่ไม่สงสัยเพราะว่าเราเข้าใจถูกต้องว่าจิตที่เกิดเป็นกุศลมี เป็นอกุศลมี เป็นวิบากมี เป็นกิริยามี ในภาษาไทยจิตเกิดเป็นกุศลแต่เวลาที่ใช้คำภาษาบาลี จิตที ๔ ชาติ เราก็อาจจะบอกว่าการเกิดของจิตนี่ต่างกันเป็น ๔ อย่างหรือ ๔ ประเภทก็ได้คือจิตที่เกิดเป็นอกุศล ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า ”อกุศลชาติ” ถ้าจิตเกิดขึ้นเป็นอกุศล ภาษาบาลีก็เป็นอกุศลชาติ จิตเกิดขึ้นเป็นวิบาก พูดถูกแล้วใช่ไหม หรือได้ยินได้ฟังมาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าวิปากชาติหมายความถึงจิต และเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย นี่ก็เป็นเรื่องที่การฟังธรรม จุดประสงค์เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่แม้มีจริง แต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลยถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ และไม่ทรงแสดง เช่นในขณะที่เห็นใครจะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน แต่ว่าเห็นมีจริงๆ แล้วเห็นเป็นอะไรถ้าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ความจริงของเห็นก็คือว่าเห็นเป็นภาวะหรือเห็นเป็นธรรมชนิดหนึ่งซึ่งสามารถเห็น แต่ไม่สามารถที่จะคิด ไม่สามารถที่จะจำ ไม่สามารถที่จะรู้สึก แล้วลองคิดดูเพียงแค่เห็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงถึงภาวะของหนึ่งขณะจิตที่เกิดเห็น ว่าขณะที่เห็นมีธรรมอะไรเกิดร่วมด้วยโดยปัจจัยอย่างไร และธรรมอันนั้นก็เป็นจริง อย่างเจตสิกเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่างเลยเกิดพร้อมจิต ดับพร้อมจิต แล้วถ้าปัญญาเกิดก็สามารถที่จะรู้ความต่างเพราะเหตุว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ และสามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับด้วย มิฉะนั้นจะถ่ายถอนการที่เคยหลงเข้าใจว่าเห็นขณะนี้เป็นเราไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าความไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่มีทำให้มีการยึดถือ และมีการเข้าใจว่าสิ่งที่มีไม่ได้เกิดแล้วดับ เช่นในขณะนี้ที่เห็นมีใครรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดแล้วดับ เห็นแล้ว แต่ไม่รู้ขณะที่เกิด และขณะที่ดับ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รู้จริงในสิ่งที่มีสามารถที่จะประจักษ์ตามความเป็นจริง และทรงแสดงให้ผู้อื่นสามารถที่จะอบรมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก และมีความมั่นคงขึ้น ไม่ใช่ความมั่นคงในธรรมของเราจะไปอยู่ที่ชื่อเยอะๆ ที่จำได้ แต่เป็นความมั่นคงที่จะรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม แม้แต่เพียงเริ่มต้นที่จะไม่ลืมว่าขณะนี้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงเพื่อที่จะได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีโดยการเข้าใจถูก ตามความเป็นจริงซึ่งไม่ใช่เรา อันนี้เป็นสิ่งที่จะต้องสะสมจนกว่าจะประจักษ์แจ้งจริงๆ

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 223


    หมายเลข 11051
    24 ม.ค. 2567