ช่วยด้วยกุศล


    ถ้าเห็นใครได้รับความทุกข์ยาก แทนที่จะเดือดร้อนใจไปกับเขา ก็ควรจะช่วย ด้วยกุศลจิต จึงจะเป็นการเกื้อกูลผู้อื่น และรักษาจิตของตนจากอกุศลด้วย


    ท่านอาจารย์ ฟังให้เข้าใจว่าเป็นธรรม เมื่อไม่รู้ก็คือไม่รู้ เมื่อฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น จะรู้มากน้อยเท่าไร ก็เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีปัจจัยเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าจะให้จงใจรู้ว่า ตอนนี้เป็นอะไร ตอนนั้นเป็นอะไร จะเกิดได้ไหม ไม่เกิดได้ไหม เปลี่ยนได้หรือไม่ อย่างนั้นก็คิดว่า ไม่เข้าใจว่า ศึกษาเพื่อรู้ธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ก็จะมีคำถามแต่เรื่องราว ของสภาพธรรม แต่ตัวธรรมจริงๆ ไม่ได้รู้ว่าไม่ใช่เรา

    ผู้ฟัง ถ้าปัญญาขั้นที่รู้ตรงลักษณะยังไม่เกิด ก็ดูเหมือนว่า ก็ต้องเข้าใจเรื่องราวไปก่อน

    ท่านอาจารย์ เข้าใจหรือว่าอยากรู้ เข้าใจธรรม หรืออยากรู้ว่าจิตนั้นมีเวทนาอะไรเกิดร่วมด้วย เป็นอุเบกขาหรือว่าเป็นโสมนัส จะเกิดด้วยกันได้ไหม หรือว่าก็ต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป ถ้าเป็นกรุณา กุศลจิตที่ประกอบด้วยโสมนัสเกิดได้ไหม ใช่ไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เราอยากจะรู้ความละเอียด หรือเรารู้ว่าไม่ใช่เราเลย เป็นอย่างนั้นแน่นอน ถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็ถามเฉพาะตรงลักษณะของขณะนั้นว่ากรุณา จิตที่มีกรุณาเจตสิกเกิดร่วมด้วย โสมนัสเกิดได้ไหม

    ผู้ฟัง ได้

    ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่ ก็เป็นความเข้าใจ ไม่มีทางที่จะสงสัย ว่ากำลังกรุณา โสมนัสเกิดได้ ก็ไม่ต้องไปถามเบ็ดเตล็ดปลีกย่อย แล้วเรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องนี้เรื่องนั้น แต่ว่าคนนั้นเองจะเริ่มเข้าใจด้วยตัวเอง ไม่ว่าได้ยิน ได้ฟังคำอะไรสำหรับไตร่ตรอง สำหรับเข้าใจ คำที่ได้ฟัง ต้องรู้ว่าขณะไหนเป็นตัวตน ที่ต้องการ ที่จะเป็นเรื่องราวอยากจะรู้ว่าตรงนี้ มีโสมนัสเกิดร่วมด้วยหรือไม่ หรือเข้าใจว่าธรรมไม่ใช่เรา ถ้าเป็นกุศลธรรมก็เกิดได้ ทั้งเวทนาที่เป็นอุเบกขาหรือว่าโสมนัสแล้วแต่

    ถ้าได้ฟังอย่างนี้ประโยชน์อยู่ตรงไหน ประโยชน์อยู่ตรงที่ว่า ปกติธรรมดาถ้าใครตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน อกุศลจิตเกิดก่อนใช่ไหม แต่เมื่อมีปัญญาเมื่อไร ก็รู้ว่าขณะนั้นเป็นอกุศล ก็สามารถที่จะช่วยบุคคลนั้น ด้วยจิตซึ่งปราศจากความเดือดร้อนใจ ซึ่งเป็นอกุศล เพราะรู้ว่าความเดือดร้อนใจ ไม่เป็นประโยชน์ ต่อให้เขาลำบากสักเท่าไร พระผู้มีพระภาคไม่ได้ตรัสให้ใครเดือดร้อนใจ เวลาที่กรุณาเกิด ผู้นั้นก็ต้องรู้ว่าเป็นกุศล ก็ต่อเมื่อไม่เดือดร้อนใจ ถ้ารู้อย่างนี้ขณะที่ใครกำลังเดือดร้อน เราก็สามารถที่จะช่วยได้ ด้วยความกรุณา ไม่เดือดร้อนใจเลย ก็หมายความว่าขณะนั้นจิตก็สามารถที่จะเป็นกุศลมากกว่า ขณะที่เป็นทุกข์ไป ร้องให้ไป ช่วยไป เขาเป็นทุกข์ เราก็โศกไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย ช่วยไปด้วย อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่า ไม่มีประโยชน์ในการที่จะเป็นทุกข์ แต่ถ้ารู้อย่างนี้ใครจะเป็นอย่างไร ธรรมย่อมรักษาจิตของคนนั้น ไม่ให้เดือดร้อนเลย ช่วยเต็มที่ทุกอย่าง แต่ไม่เดือดร้อนสักนิด อย่างคนที่ใกล้จะตาย เรารู้แน่ใกล้จะตาย แต่ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร อาจจะอีก ๗ วัน อาจจะอีก ๒ วัน อาจจะถึงพรุ่งนี้ หรืออาจจะถึงตอนที่กำลังอยู่ด้วยกันก็ได้ ในขณะนั้นรักษาจิตคือ ไม่หวั่นไหวเลย มีอะไรที่จะช่วยเขาก็ช่วยเท่านั้นเอง ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ามีความเข้าใจแล้ว แม้ขณะนั้นใครจะอยู่ในสภาพที่ทุกข์ยากสักเท่าไร เราก็สามารถที่จะเป็นกุศลจิต ไม่เป็นอกุศลจิต นี่คือประโยชน์


    หมายเลข 10941
    12 เม.ย. 2567