ไม่ว่าผีหรือคนก็เป็นธรรม


    ภพภูมิมีมากมายหลากหลาย แต่ก็เป็นธรรมทั้งสิ้น ความกลัวสิ่งที่เรียกว่า ผี ก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่มีจริง เกิดเพราะเหตุปัจจัยที่ยังดับโทสะไม่ได้ แต่ถ้าปัญญาสามารถเกิดรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้น ก็จะไม่หวั่นไหว


    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้กำลังอำ ใช่หรือไม่

    อ.อรรณพ โดนอกุศลอำ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นสิ่งซึ่งน่าคิด ถ้าเราคิดคนละแนว ความเห็นก็ต่างๆ กันไป อย่างภพภูมิต่างๆ มีแน่นอน แต่ว่าไม่ว่าจะภพไหน ภูมิไหน เพียงไม่มีจิตเกิดขึ้นอะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ กว่าจะรู้ความจริง ซึ่งเป็นหนทางแก้ไข คนที่กลัวผีเพราะรู้ว่า ต้องมีภพภูมิอื่น ซึ่งอาจจะมาปรากฎตัว หรืออะไรๆ ก็แล้วแต่ ห้ามความคิดได้หรือไม่ ห้ามความรู้สึกได้ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริงก็คือว่า ขณะนั้นไม่มีใครเลยทั้งสิ้น แต่มีธรรม ซึ่งเกิดดับสืบต่อกัน แล้วก็สภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ เมื่อเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วคิด ถ้าเพียงแต่ว่ามีสิ่งนั้น คนหนึ่งคิดอย่าง อีกคนคิดอย่าง เช่นคนที่ไปต่างประเทศ ไปอยู่ที่หนึ่ง ที่เขาบอกว่าผีดุ แต่คนนี้ไม่รู้เรื่องเลย พอกลางคืนก็เตียงสั่น เขาก็ตื่นมา แผ่นดินไหว แล้วก็นอนต่อไป ก็จบ แต่ถ้าเป็นคนที่คิดว่า ผีกำลังเขย่า ไม่จบ ใช่ไหม ก็แล้วแต่ความคิด ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ แต่ความจริงก็คือว่าเป็นธรรม ซึ่งเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นแล้ว จะต้องมีการเห็น อย่างเดี๋ยวนี้ เป็นต้น

    จิตเกิดขึ้นไม่เห็น ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่จะต้องเห็น เห็นเกิดแล้วทำอะไรไม่ได้เลย เตียงสั่นแล้ว ทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าคิดได้ ว่าขณะนั้นแผ่นดินไหว ก็ไม่ต้องไปคิดว่า ผีกำลังสั่นก็ได้ เพราะว่าจริงๆ แล้วก็มองไม่เห็น และอีกอย่างหนึ่งไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นปรากฏทางตา ดับแล้วทั้งหมด การที่จะมีความเข้าใจถึงความไม่ใช่เรา เป็นหนทางที่จะทำให้ละความกลัว ความคิดต่างๆ ซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ได้ ขณะนั้นก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่า ไม่เคยปรากฏอย่างนั้นมาก่อน แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ชั่วขณะแล้วก็หมด แล้วก็ไม่เหลือ เหมือนเห็นจริงๆ ถ้าจะเห็นผี กับเห็นคน ต่างกันตรงไหน

    อ.กุลวิไล ไม่ต่าง

    ท่านอาจารย์ เห็นก็เห็น

    อ.กุลวิไล เพราะว่าต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

    ท่านอาจารย์ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น นี่คือความจริง ถึงแม้ว่าผีจะปรากฏ หรือว่าคนกำลังปรากฏ ความจริงก็คือว่า ไม่มีเรา แต่มีธาตุเห็น ซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แล้วก็ตามด้วยความคิดหลากหลาย แล้วแต่ว่าความคิดนั้นก็เกิดขึ้น คิดอย่างนั้นชั่วคราว แล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรสักอย่าง ซึ่งกลับคืนมา เห็นคน เห็นเกิดขึ้นแล้วดับ ไม่ว่าจะคนหรือผี ดับแล้วคิดต่อ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือผี ก็แล้วแต่ความคิด กลัว ไม่ต้องเห็นผีก็กลัว ก็เกิดได้ ไม่ว่าเห็นอะไรจะกลัวก็กลัว จะไม่กลัวก็ไม่กลัว ทุกคนกลัวผีใช่ไหม ตอบตรงๆ เลย มีใครบ้างที่ไม่กลัว กลัวมาก กลัวน้อย แต่ถ้าบอกว่าไม่กลัวผี แล้วก็เกิดกลางคืนมืดๆ มีอะไรเกิดขึ้น คิดซะแล้ว ต้องเป็นผี ใช่ไหม ก็กลัวผี ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล ต้องมีความกลัวต่างๆ กันไป ว่าใครจะกลัวผี ใครจะกลัวคน ใครจะกลัวตาย ใครจะกลัวเจ็บ ก็แล้วแต่ แต่ว่าตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอนาคามี ก็ยังมีธรรม ซึ่งเป็นธาตุ ซึ่งหวั่นไหว และก็ขณะนั้นไม่สบายใจ

    ถ้ารู้ว่าเป็นธรรมดา มีประโยชน์ไหม ก็เป็นธรรมดา แล้วก็ไม่มีหรอก ผีจะอยู่ตรงนั้นได้นานเท่าไร ทุกคนยังกลัวผีแน่ๆ จะมีปัญญาระดับไหน ก็ยังกลัวผี เพราะยังมีธาตุที่กลัว แล้วแต่ว่าธาตุนั้นจะกลัวอะไร โทสะมูลจิตยังมี จะกลัวอะไร มากน้อยแค่ไหน สถานะไหน แต่ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงขึ้น แม้เป็นผี หรือไม่ใช่ผี สมมติว่าเป็นผีก็ได้ ขณะนั้นปัญญาสามารถเกิดขึ้นรู้ว่า แค่เห็นแล้วก็ดับ สบายเลย สำคัญที่สุด หนทางที่แน่นอนที่สุด ที่จะละความกลัวได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะกลัวผี กลัวคน กลัวอะไรก็คือว่า มีความเข้าใจถูก ในลักษณะของสภาพธรรมนั้นว่า ไม่ใช่เรา


    หมายเลข 10937
    14 เม.ย. 2567