ไม่ออกนอกทาง


    ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ แต่ไม่รู้มานานแสนนาน เพราะฉะนั้นจะไป ทางไหน คือจะไปในทางผิดที่ไม่ทำให้รู้ความจริงขณะนี้ หรือทางที่สามารถ เข้าใจถูกในสภาพธรรมที่ปรากฎขณะนี้ตามความเป็นจริง โดยไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกอารมณ์ ซึ่งจะเป็นหนทางที่สามารถชำระล้างความยึดมั่นว่าเป็นเรา และกิเลสอกุศลต่างๆ ได้ตามลำดับ


    ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเดี๋ยวนี้มีจริง หนทางก็คือว่าอบรมเจริญความเข้าใจถูก ไม่ใช่ไปทำอะไรเลย แต่ความเข้าใจถูกในสิ่งที่มี และก็เพิ่งได้ยิน ได้ฟัง ถึงแม้ว่าในสังสารวัฎฎ์ในชาตินี้ จะได้ยินพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับที่แล้วๆ มา แสนโกฏกัปก็เล็กน้อยมาก ไม่ใช่ว่าใครสามารถ ที่จะถึงลักษณะ ที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ ไม่ว่าเห็นก็เกิด แล้วก็ดับ ได้ยินเกิดแล้ว ก็ดับ แต่ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ละความเป็นเรา และก็มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น นี่คือหนทางเดียว

    อ.อรรณพ แต่ว่าจะทราบได้อย่างไร ว่าหนทางใดผิด ทางใดถูก ซึ่งมีคำสอนอยู่หลายทาง

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นก็ต้องรู้ว่า จะไปไหน มีทางจริง หลายทางด้วย แต่ต้องรู้ว่าจะไปไหน ถ้าไม่รู้ว่าจะไปไหน ก็ไปไม่รู้ และก็ไม่รู้ว่าที่ไปนั้นคืออะไรด้วย ขณะที่ฟัง มีความมั่นคงหรือยัง ว่าไปไหน ไป ไม่ใช่เรา แต่สภาพธรรมขณะนี้ กำลังเกิดดับ แล้วไม่รู้มานานแสนนาน ไปทางเดียวคือ ไปทางที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม ที่กำลังเกิดดับอยู่ในขณะนี้ ฟังเหมือนยาก เพราะมองไม่เห็น ถ้าเห็นเป็นทางก็พอจะเลือกได้ แต่นี่ทางก็คือเดี๋ยวนี้เอง เวลาที่ฟังธรรมแล้วมีความเข้าใจที่มั่นคง นั่นคือกำลังละ ความต้องการที่จะไม่รู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ

    ความลึกซึ้งของพระธรรมก็คือว่า ต้องฟังด้วยความเข้าใจ ในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ทั้งหมดทรงแสดงไว้เป็นจิต และเจตสิกทั้งนั้น และรูปก็เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร ขณะนี้ไม่ใช่เรา แต่เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป หนทางไหนที่จะทำให้เข้าใจถูกต้อง ว่าเดี๋ยวนี้อะไรเป็นรูป และอะไรเป็นสภาพรู้ ซึ่งเป็นจิต ซึ่งรู้แจ้ง และอะไรก็เป็นลักษณะของสภาพรู้ ซึ่งไม่ใช่จิต แต่เกิดพร้อมกับจิต

    อ.อรรณพ ความหมายหนึ่งของปุถุชน ซึ่งคือผู้ที่หนาไปด้วยกิเลส ก็มีความหมายว่าเป็นผู้มองดูหน้าศาสดาหนา หมายความว่าต้องฟังคนสอนคนโน้น ต้องฟังคนสอนคนนี้ คนนั้น ยังไม่ได้ปักใจลงไปในคำสอนที่ถูกต้องจริงๆ ได้

    ท่านอาจารย์ มองหน้าแล้วก็ถามด้วย ไม่ใช่มองเฉยๆ

    อ.อรรณพ มองแล้วถาม

    ท่านอาจารย์ มองแล้วถามว่าถูกไหม ใช่ไหม ก็ไม่ใช่ปัญญา เพราะว่าตราบใดที่ยังต้องมองหน้า หาหน้าที่จะมอง ว่าจะมองหน้าไหน แล้วก็ไปถามหน้านั่นแหละ ใช่ไหม ถูกไหม อย่างนี้ไม่ใช่หนทางของปัญญา แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าคำที่ได้ฟัง เป็นคำที่ขณะนี้กำลังมี เพื่อที่จะได้รู้ความจริงว่าพูดความจริง พูดสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ เพื่อจะได้เข้าใจได้ถูกต้อง ว่าไม่มีเรา ต้องไม่ลืมหนทางนี้ คือไปสู่ทางที่รู้แจ้งสภาพธรรม ที่กำลังเกิดดับ ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แล้วต้องเป็นความจริงเดี๋ยวนี้ด้วย

    อ.อรรณพ เป็นหนทางที่จะเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังไม่มาถึง ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็เหมือนเดิม คือไม่รู้เหมือนเดิม

    อ.อรรณพ มีผู้สอน เจ้าความรู้ เจ้าความคิด ที่จะสอน แล้วเขาบอกว่าหนทางของเขา เป็นทางที่ลัด ที่ตรง ที่จะทำให้ถึงได้เร็ว

    ท่านอาจารย์ จะถึงได้เร็ว ได้อย่างไร กำลังไม่รู้เดี๋ยวนี้ ละเดี๋ยวนี้ ทำอย่างไร ไม่ใช่ต้องไปรอละ เวลาอื่น แต่เดี๋ยวนี้กำลังไม่รู้ เดี๋ยวนี้กำลังมีสภาพธรรมปรากฏ เดี๋ยวนี้กำลังติดข้องอย่างหนาแน่น เหนียวแน่น ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทั้งหมด แล้ว ละ เดี๋ยวนี้ทำอย่างไร เร็วกว่าหรือไม่ ไม่ต้องไปทำวิธีอื่นที่จะละ แต่เดี๋ยวนี้เลย จะละได้อย่างไร ด้วยความเป็นอนัตตา ถ้าตราบใดที่ยังคิดว่าเป็นอัตตาที่จะละ ที่จะทำ ผิด จึงต้องฟังธรรมทีละคำ แล้วก็เข้าใจละเอียดจริงๆ รอบคอบจริงๆ ว่าไปไหน มีหนทางไปไหน ไม่ใช่ไปที่ไหนเลย แต่เพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งเป็นความจริงที่ว่าเป็นธรรมหรือเป็นธาตุ แต่ละหนึ่งหลากหลาย เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไปสู่หนทางนี้ หนทางเดียว ไม่เลือกสถานที่ เพราะเหตุว่าไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ไหนเวลาปัญญาเกิด ไม่เลือกอารมณ์ ไม่รู้ว่าสติสัมปชัญญะ จะเกิดระลึกรู้อะไร ขณะไหน ก็ไม่รู้ทั้งสิ้น ก็สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกว่า สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ฟังเพื่อเข้าใจถูกต้อง โดยความรู้ที่เพิ่มขึ้น

    อ.อรรณพ ท่านแสดงโทษของการที่ออกนอกธรรม หันไปประพฤติตามอธรรม ก็จะดำเนินไปในทางแห่งความตาย

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิด จะตายหรือไม่

    อ.อรรณพ ไม่ตาย

    ท่านอาจารย์ ก็เกิดไปเถอะเรื่อยๆ เพราะว่าจะต้องตาย เมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องตาย เป็นหนทางไปสู่ความตาย เกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็ตายเรื่อยๆ

    อ.อรรณพ ถึงแม้ว่าเขาจะมีการเจริญกุศล แต่กุศลนั้นก็ยังเป็นกุศลที่นำไปสู่การเกิด การตาย

    ท่านอาจารย์ เป็นกุศล แต่เป็นเราที่มีกุศลหรือเป็นกุศล เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้เข้าใจกุศล ว่าไม่ใช่เรา ถ้ารู้ว่ากุศลไม่ใช่เรา ถูก แต่ถ้าเรามีกุศล ขณะนั้นเป็นกุศลของเรา ผิด มีหนทางเดียวจริงๆ คือเข้าใจถูก จากการฟัง และก็ละความอยากหรือความต้องการ ที่จะให้หมดกิเลส โดยที่ว่าไม่มีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้กำลังเห็น เมื่อเช้านี้ก็กำลังเห็น ตั้งแต่เช้าจนถึงเดี๋ยวนี้ ขณะไหนบ้างที่สติสัมปชัญญะถึงเฉพาะลักษณะของเห็น แม้กำลังพูดอย่างนี้ ก็มีทั้งเห็น มีทั้งได้ยิน มีทั้งคิดนึก เพราะอะไร รู้ว่าเป็นคนนั้น รู้ว่าเป็นคนนี้ รู้ว่าเป็นดอกไม้ จะมีเฉพาะเห็น ยังไม่ได้ แต่เมื่อไรที่มีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ และเมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคง ไม่ไปไหน ตรงนี้แหละที่กำลังปรากฏ เพราะว่าถ้าไม่ใช่ตรงนี้ ก็ดับแล้ว อยู่ตรงไหน ถ้าไม่ระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรม ก็ดับแล้ว ทั้งหมดจึงต้องเป็นในขณะที่สภาพธรรมหนึ่ง สภาพธรรมใดกำลังปรากฏนี่แหล่ะ แม้ว่ากำลังเห็น ฟังเรื่องเห็น ยังไม่รู้ คือยังไม่ถึงเฉพาะลักษณะของเห็น อยู่ในความมืด ตัวเห็นอยู่ในความมืด จริงไหม และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ก็อยู่ในความมืด เพราะดับแล้ว แต่ปรากฏเป็นดอกไม้ ปรากฏเป็นคน ปรากฏเป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ก็มืดตลอดชีวิต ที่ไม่รู้ความจริง ตามที่ผู้มีพระภาคทรงแสดง และก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นทีละน้อย เมื่อมีความเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะถึงเฉพาะ สิ่งที่ไม่เคยถึงเฉพาะ คือเห็นเดี๋ยวนี้ ยังไม่เคยถึงเฉพาะลักษณะของเห็น แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคง โดยการละความเป็นเราจะทำ หรือพยายามที่จะรู้ โดยไม่ใช่หนทาง เป็นหนทางที่ผิด ซึ่งไม่ใช่หนทางที่จะทำให้เข้าใจถูก ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ก็ไม่มีวันเลยที่จะทำให้สามารถถึงเฉพาะลักษณะของเห็น ที่กำลังเกิดดับ แต่จากการฟังเดี๋ยวนี้ รู้ว่าเห็นเกิดดับ ไม่ต้องไปไหนเลย แต่ความเข้าใจไม่พอ ขณะที่เข้าใจอย่างนี้ นี่คือปัญญาที่เห็นถูกต้อง ซึ่งกำลังชำระจิต ที่ยึดมั่นในรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์วิญญาณขันธ์ ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ ด้วยความเป็นเรา เป็นเรามาตลอด ก็จะเป็นเราต่อไป จนกว่าเข้าใจขึ้น พอเข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็ชำระล้างอกุศลที่ไม่เข้าใจ ทีละน้อยมาก เพราะเหตุว่าความไม่เข้าใจมากมายมหาศาล


    หมายเลข 10935
    18 เม.ย. 2567