สุ. เพราะฉะนั้นพระโสดาบันหรือผู้ที่ไม่ใช่พระโสดาบันบางท่านก็มีครอบครัว เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ครองเรือน บางท่านก็ไม่มีครอบครัว เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ไม่ครองเรือน แต่สำหรับพระอนาคามีก็เสมอกันในคุณธรรมของพระอนาคามีคือไม่ครองเรือน พระอรหันต์ก็เสมอกันที่ไม่มีกิเลสใด ๆ เหลือเลย เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ไม่ใช่พระโสดาบันเห็นคนที่เป็นพระโสดาบัน ไม่รู้แม้หนทางว่าอบรมเจริญอย่างไร ละความสงสัยในสภาพธรรมอย่างไร ดับกิเลสอย่างไร จึงได้เป็นพระโสดาบัน ผู้นั้นก็ไม่รู้เลยว่าบุคคลนั้นเป็นพระโสดาบัน หรือแม้พระภิกษุที่เดินตามกัน รูปหนึ่งเป็นพระอรหันต์ รูปหลังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ไม่รู้ว่ารูปที่ท่านเดินตามแป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าสำหรับพระภิกษุที่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยจะไม่มีใครแยกออกเลยว่าบุคคลใดเป็นพระอรหันต์หรือไม่เป็นพระอรหันต์ ด้วยเหตุนี้เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เป็นเรื่องภายนอกที่จะรู้ได้ พระโสดาบันไม่ใช่พระสกทาคามีและไม่ใช่ปุถุชน เพราะฉะนั้นปุถุชนก็ไม่รู้ใช่ไหมว่าบุคคลนั้นเป็นพระโสดาบันหรือเปล่า เพราะว่าไม่มีอะไรต่างเลยนอกจากไม่มีความเห็นผิดในลักษณะของสภาพธรรม ไม่หลงทางที่จะรู้ว่าปัญญาที่จะรู้ลักษณะของธรรมที่มีจริง ๆ มีหนทางเดียวด้วยปัญญาที่เกิดพร้อมกับสติสัมปชัญญะ
- ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่าเป็นธรรมและเป็นอนัตตา
- เครื่องกั้น-เครื่องเนิ่นช้า
- ก่อนที่จะถึงความเป็นพระโสดาบัน
- เมื่อได้ยินได้ฟังส่วนที่ยังเข้ากันไม่ได้
- สะสมการฟังก็สะสมสัญญาว่าไม่ใช่เรา
- หุงข้าวต้มเพื่อข้าวต้ม
- 698 พระโสดาบันเสื่อมได้ไหม
- 697 พระโสดาบันด้วยกันจะทราบไหมว่าใครเป็น
- 696 จำด้วยความเข้าใจจนกว่าจะระลึก
- 695 ที่เกิดของจิต
- ปัญญารู้อะไรและรู้แค่ไหน
- ไม่รู้จบ