696 จำด้วยความเข้าใจจนกว่าจะระลึก


        ผู้ถาม เมื่อเช้านี้ฟังเทปของท่านอาจารย์คือฉันทะก็ฟังได้ แต่สำหรับในโลกปัจจุบันนี้อย่างเราๆ แค่ฉันทะมันก็น่าจะทำให้เราทำมาหากิน ขยันหมั่นเพียรพอดีๆ อย่างนี้มันก็น่าจะพอไปได้ ทีนี้เทวดาสนทนากับพระพุทธเจ้าบอกให้ละฉันทะ คือถ้าละหมดแล้วโลกมันก็คงเงียบเหงา คงไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยครับท่านอาจารย์

        สุ. กำลังค้านกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า

        ผู้ถาม ก็ผมถึงกราบเรียนเมื่อกี้นี้ว่ามองในแง่ของโลกุตตรธรรม ถ้าเราหวังที่จะไปนิพพาน หวังตรัสรู้ หวังเป็นพระอรหันต์กันทุกคน โอเคเราอาจจะเห็นด้วย

        สุ. คุณเด่นพงษ์ยังพอใจในการเกิด

        ผู้ถาม เกิดมาแล้วก็เอาฉันทะสักหน่อยไม่ดีหรือครับ

        สุ. มิได้ค่ะ ยังไงๆ เราเลือกไม่ได้เลย เราจะเลือกธรรมไม่ได้เลย แต่ว่าเราสามารถเข้าใจขณะใดก็ตามที่สภาพธรรมใดปรากฏ เพราะเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย ให้เข้าใจความจริงว่าเป็นอนัตตา ไม่มีเรา แต่มีธรรม ฉันทะก็มี ใครที่จะไปดับฉันทะก็ไม่ได้จนกว่าจะไม่มีการเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าเราจะทำอะไรหมายความว่าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจความเป็นอนัตตา ไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักเจตสิก ไม่รู้จักรูป เพราะเหตุว่าถ้าเป็นจิตใครจะทำอะไรจิตได้ ถ้าเป็นเจตสิก เป็นรูป ใครจะไปทำอะไรได้ แต่สามารถเข้าใจได้ถูกต้องว่าจิตไม่ใช่เจตสิก และก็จิต เจตสิกไม่ใช่รูป แต่ขณะนี้มี และก็เป็นธรรม ศึกษาธรรมให้เข้าใจขึ้น แต่ไม่ใช่ให้ไปคิดเปลี่ยนแปลงด้วยความเป็นตัวตน แม้แต่ปัญญาจะเกิดหรือไม่เกิด บังคับไม่ได้ ปัญญาระดับไหนที่จะเกิดก็บังคับไม่ได้ ฉันทะจะเกิด อะไรจะเกิด ก็เพราะเหตุว่ามีเหตุปัจจัยแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราไม่มีฉันทะๆ มีเมื่อไหร่ให้เรารู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นฉันทะ

        ผู้ถาม อาจารย์ว่าให้มีได้ใช่ไหมครับ

        สุ. มิได้ ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับได้เลย มีฉันทะหรือเปล่า

        ผู้ถาม มีแน่

        สุ. เพราะฉะนั้นไม่มีใครให้ฉันทะเกิด แต่ว่ามีเหตุปัจจัยให้ฉันทะเกิด แล้วฉันทะก็ดับ เพราะฉะนั้นฉันทะเป็นอนัตตาแล้วก็มี ที่เป็นกุศลก็มี ฉันทะในกุศลก็มี ฉันทะในอกุศลก็มี ก็รู้ตามความเป็นจริง คุณเด่นพงษ์พอใจฉันทะในอกุศลเพราะเหตุว่าคิดว่าถ้าไม่มีโลภะอยู่ในโลกนี้ไม่ได้

        ผู้ถาม ผมไม่ได้ใช้คำว่าโลภะเลย ผมไม่เห็นด้วยกับโลภะ ผมไม่เห็นด้วยกับตัณหา แต่คำว่าฉันทะ มันน่าจะหมายความคล้ายๆ กับสัมมาอาชีวะ สัมมาๆ คำว่าสัมมานี่พอดีพอเหมาะ แม้แต่เรากินเราอยู่ เราก็กินพอเหมาะพอควร หามาได้ก็ใช้พอเหมาะพอควร สัมมาอาชีวะ ผมก็นึกว่ามันน่าจะใช้กับคำว่าฉันทะ

        สุ. คือเรานึกเองว่าฉันทะเป็นอย่างนี้ แต่ฉันทะเกิดกับกุศลก็ได้ เกิดกับอกุศลก็ได้ เพราะฉะนั้นที่คุณเด่นพงษ์กล่าวหมายความถึงฉันทะฝ่ายไหน

        ผู้ถาม ก็คงจะหมายถึงฝ่ายดี มองกันในแง่สัมมา

        สุ. ถ้าฝ่ายดีทุกคนก็มีฉันทะในฝ่ายดี ไม่ได้ต้องไปให้ฉันทะฝ่ายดีเกิด

        ผู้ถาม ทีนี้เมื่อเช้านี้ฟังเหมือนกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ละฉันทะ

        สุ. ที่เกิดกับอกุศล ต้องเข้าใจด้วย

        ผู้ถาม ครับผม อันนั้นก็เข้าใจไปหนึ่ง แล้วอีกประเด็นหนึ่งที่ฟังในเทป ผมก็พยายามฟัง และทำความเข้าใจ อย่างผมเรียนปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ผมก็รู้ว่าผมเรียนได้ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก แต่พระโสดาบัน พระอนาคามี พระอรหันต์ ท่านไม่ได้มีใบประกาศณียบัตร แล้วก็มีการถามกันว่าใครจะรู้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน แม้แต่ตัวเองก็ไม่รู้ใช่ไหม

        สุ. มิได้เลย ตัวเองรู้ ต้องรู้

        ผู้ถาม แต่อย่างผม ถ้าผมไม่สอบปริญญา ผมก็ไม่รู้ว่าได้ ทั้งๆ ที่ผมามีความรู้ ผมนึกไปในลักษณะอย่างนี้ อาจจะนึกแบบเชยๆ หรือเปล่าก็ไม่ทราบ

        สุ. ใครรู้แค่ไหน คนนั้นก็รู้ว่ารู้แค่นั้น ไม่ว่าจะทางไหน

        ผู้ถาม ตัวเองก็รู้ใช่ไหม

        สุ. แน่นอน เรารู้ว่าเรารู้อะไร ไม่รู้อะไร แม้แต่ในทางโลก ไม่ใช่ในทางโลกเราไม่รู้ แล้วเราไปคิดว่าเรารู้ ก็ยังคงเป็นความไม่รู้นั่นเอง สำหรับทางธรรมเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เรื่องของการศึกษาทางโลกที่จะต้องมีใบอะไรมารับรองเลย แต่ผู้นั้นเป็นผู้ที่ตรง ผู้นั้นรู้ คนอื่นจะกล่าวว่าผู้นั้นไม่รู้ก็แล้วแต่ผู้ที่ไม่รู้จะกล่าวอย่างนั้น จะไปเปลี่ยนความเป็นจริงคือผู้นั้นรู้ ความรู้ระดับนั้นเกิดแล้วให้เป็นความไม่รู้ไม่ได้ อย่างเวลานี้คุณเด่นพงษ์เข้าใจคำว่าธรรมใช่ไหม

        ผู้ถาม เข้าใจ

        สุ. แล้วใครจะไปบอกว่าคุณเด่นพงษ์ไม่เข้าใจคำนี้ก็เรื่องของเขา คุณเด่นพงษ์เข้าใจว่าจิต เจตสิก ไม่ใช่รูป ใครจะไปบอกว่าคุณเด่นพงษ์ไม่รู้ จิต เจตสิกรูปก็เรื่องของเขา แต่ว่าความรู้มีหลายระดับ ขณะนี้เราต้องเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรมแน่นอน จะฟังมานานสักเท่าไหร่แล้วก็อีกกี่ชาติจะฟังต่อไปก็ตามแต่ สัญญาความจำ เราสามารถที่จะระลึกได้ไหมว่าขณะนี้เป็นธรรม ไม่ใช่ให้จำชื่อ เพราะเหตุว่าธรรมมี แล้วก็ใช่ชื่อเพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงธรรมอะไร เพราะฉะนั้นขณะนี้มีธรรมจริงๆ ที่มีลักษณะกำลังปรากฏ ที่ปรากฏทางตาก็มีธรรมอย่างนี้ และที่กำลังปรากฏไม่เปลี่ยนแปลงกี่ภพกี่ชาติก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ธรรมทางหูไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมทางจมูก ธรรมทางลิ้น ธรรมทางกาย ธรรมทางใจที่คิดนึกก็เป็นธรรม เราฟังอย่างนี้แล้วสัญญาจำไว้ได้แค่ไหนที่จะรู้ว่าแม้ขณะนี้ก็เป็นธรรมที่กำลังมีลักษณะอย่างนี้กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้สัญญาก็จะต้องมีการจำด้วยความเข้าใจถูกต้อง จนกว่าจะสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้โดยสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นผู้นั้นจะต้องเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟังจริงๆ อย่างสติหรือสติปัฏฐานใช้ชื่อว่า “สติปัฏฐาน” และก็รู้ว่ามี ๔ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คนที่พูดอย่างนี้มีความเข้าใจระดับไหน เราอาจจะบอกว่าเขารู้หมดเลย เขาจำได้ว่าสติปัฏฐานมี ๔ แต่ว่าถ้าบุคคลนั้นไม่เข้าใจความต่างของสติขั้นที่เป็นสติขั้นทาน สติขั้นศีล สติที่จิตสงบ และสติที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เข้าใจความต่างของขณะที่หลงลืมสติต่างกับขณะที่สติเกิด ผู้นั้นจะเข้าใจสติปัฏฐานได้ไหม เรียกชื่อได้หมดเลย แต่ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย ด้วยเหตุนี้มีใครจะบอกว่ายังไงก็เป็นเรื่องความคิดของคนนั้น แล้วก็เป็นผู้ที่ตรงสำหรับผู้ที่ศึกษาธรรมที่จะรู้ว่าไม่ได้ศึกษาเพื่อเหตุอื่นเลยทั้งสิ้น ข้อความในพระไตรปิฎกมีข้อความหนึ่งที่ว่าการต้มข้าวต้มอย่างเดียวเพื่อข้าวต้ม การปิ้งขนมอย่างเดียวเพื่อขนม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย เราต้มข้าวต้มเพื่ออะไร ต้องการอะไร ก็ต้องการข้าวต้มใช่ไหม ถ้าจะปิ้งขนม ต้องการอะไร ก็ต้องการขนม ถ้าไม่ปิ้ง ขนมก็ไม่มี เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังฟังธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจธรรม มีธรรมกำลังปรากฏ แล้วก็สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ไม่ได้นอกไปจากธรรมที่กำลังปรากฏเลย แต่เริ่มที่จะเข้าใจเรื่องราวของสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ว่าลักษณะจริงๆ เป็นสิ่งที่รู้ยาก ไม่ใช่ไม่สามารถว่าจะรู้ไม่ได้ รู้ได้ แต่เรารู้เองว่าเป็นความต่างกันของระดับขั้นฟัง และยังต้องพิจารณาไตร่ตรอง และก็มีธรรมกำลังปรากฏให้พิสูจน์ ให้ค่อยๆ เข้าใจตามที่เรียน แต่กว่าสัญญาจะมั่นคงที่จะระลึกได้ และสติสัมปชัญญะจะรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เราจะเข้าใจความหมายของคำว่า “อบรม” ไม่มีตัวตนที่จะทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้หลงผิดไปที่จะไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้แม้แต่การศึกษาธรรมนั้นก็จะต้องรู้จุดประสงค์ว่าศึกษาเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อใบหนึ่งใบใดให้ใครมารับรองให้ผู้นี้รู้เลย แต่เป็นผู้ที่จริงใจ และตรงต่อพระธรรม มีความเคารพในพระรัตนตรัย ในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดงพระธรรมเพื่ออนุเคราะห์ และพระธรรมก็มีจริงๆ กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นเรียนเพื่อละความไม่รู้ และก็รู้ได้เลยว่าประโยชน์สูงสุดก็คือว่าถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้อยู่ๆ ในคุกใหญ่คือสังสารวัฏที่ไม่สามารถจะออกไปได้เลย จะอยากออกหรือไม่อยากออกก็ต้องอยู่เพราะเหตุว่าไม่มีเราแต่มีเหตุที่จะให้จิต เจตสิกเกิด มีสมุฏฐานที่จะทำให้รูปเกิด ทุกอย่างต้องเป็นไปตามธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 213


    หมายเลข 10812
    25 ม.ค. 2567