ที่พึ่งอันแท้จริง


        วิ. เรียนถามท่านอาจารย์มีส่วนของรูปที่เป็นรูปที่กระทบได้ที่เป็นสัปปฏิฆรูป ๑๒ รูป ที่เรียกว่ากระทบได้คือยังไง

        สุ. นี่อีกนัยหนึ่งแล้วใช่ไหม คำว่ารูปธรรมทั้งหมดที่เข้าใจไม่ใช่มีแต่เฉพาะ ๕ ก็ยังมีรูปอื่นๆ อีกด้วย แล้วก็กล่าวถึงโดยนัยอื่นๆ อีกด้วย

        วิ. การเห็นได้ก็ต้องมีจักขุปสาท และก็มีรูปที่มากระทบกับจักขุปสาท และเป็นปัจจัยให้เกิดการเห็น อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นรูปที่กระทบ

        สุ. แน่นอน คือรูปอื่นกระทบไม่ได้ใช่ไหม หทยวัตถุกระทบได้หรือเปล่า กระทบรูปอะไร กระทบตาได้ไหม กระทบสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ไหม ไม่ใช่รูปที่กระทบได้ แต่เป็นรูป เพราะฉะนั้นขณะใดที่เป็นรูปที่ยังไม่ได้กระทบเป็นรูปที่เพียงสามารถกระทบได้แต่ยังไม่ได้กระทบ เพราะฉะนั้นรูปนั้นไม่ใช่อายตนะ เพราะเหตุว่ายังไม่มีการประชุมกัน เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่จะเข้าใจหนึ่งขณะจิตละเอียดขึ้นอีก กว้างขึ้นอีก คำว่า “กระทบ” ภาษาบาลีจะใช้หลายคำ แต่คำหนึ่งคือปฏิฆะ พอถึงปฏิฆะต้องมีคำว่าปฏิฆสัญญาอีกใช่ไหม เฉพาะจิต ๑๐ ดวง นี่ก็แสดงให้เห็นมีการกล่าวถึงสภาพธรรมโดยละเอียดจนกระทั่ง ไม่ใช่ให้ไปเข้าใจคำ แต่ว่าให้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นจริงๆ เพื่อที่จะได้เมื่อมีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรม ปัญญาที่ได้สะสมความเห็นถูกในขั้นการฟังว่าไม่ใช่เรา จึงสามารถจะมีกำลังที่จะสละความเป็นเราซึ่งหนาแน่นเหนียวแน่น และละเอียดมาก แต่ก็ต้องมีความเข้าใจสะสมสัญญาที่จะมีความจำในเรื่องความเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมโดยละเอียดขึ้น แต่ว่าอย่าไปคิดเรื่องท่อง ไปคิดเรื่องจำ ไม่มีประโยชน์เลยเพราะเป็นแต่เพียงชื่อ แต่ทั้งหมดก็คือว่าสิ่งใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแล้วดับแล้วโดยที่บุคคลนั้นไม่มีโอกาสที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่เพียงปรากฏแล้วดับไป ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ ว่าปัญญารู้อะไร ทุกคนมีโลภะ มีโทสะ มีทุกอย่าง และก็รู้สึกตัวเองด้วย บางคนก็มีมานะ ก็มีมานะมาก ทั้งหมดก็เป็นสิ่งซึ่งจริง แต่จริงยิ่งกว่านั้นคือมีหนทางที่จะรู้ความจริงนั้น และดับอกุศลได้หมดเป็นสมุจเฉท นี่คือสัจจธรรมความจริงอีกประการหนึ่งซึ่งต้องค่อยๆ สะสม ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้โดยไม่รู้ว่าขณะไหนหลงลืมสติ และขณะไหนสติเกิด ความต่างกันของขณะที่สติเกิดมีลักษณะของสภาพธรรมกำลังปรากฏเหมือนเดี๋ยวนี้ เพราะ ฉะนั้นก็แล้วแต่สติจะเกิดระลึกหรือไม่ระลึก แต่กว่าจะคุ้นเคยกับลักษณะที่เป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา ก็จะยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมสภาพธรรมที่กำลังปรากฏกับสติ ขณะนั้นเป็นที่พึ่งอันแท้จริง สติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมเพราะว่าขณะนั้นไม่มีเรื่องใดๆ ไม่มีเรา ไม่มีเหตุการณ์วุ่นวาย ไม่มีเหตุการณ์ชวนให้คิด ชวนให้จำ ชวนให้โกรธ หรือว่าชวนให้ริษยาเลย แต่ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพียงปรากฏแล้วก็หมดไป เพราะฉะนั้นหนทางเดียวก็คือเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏขั้นฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะมีปัจจัยทำให้สติสัมปชัญญะเกิด และก็รู้ว่าขณะนั้นต่างกับขณะซึ่งไม่ได้เป็นที่พึ่งอันแท้จริงเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดๆ ทั้งสิ้น จะสุขมากมาย จะมีสมบัติมากมายยังไง ก็ไม่ได้เป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง แต่ที่พึ่งจริงๆ ธรรมรัตนะก็คือมรรค ผล นิพพาน และก็รวมทั้งการศึกษาปริยัติซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะทำให้สามารถรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ก็เป็นผู้ตรงเท่านั้นจึงจะได้สาระจากพระธรรม มิฉะนั้นโลภะก็พาไปหมดเลย แล้วก็เกาะเอาไว้แน่นด้วยที่ถามถึงอุปาทาน ก็แสดงถึงความยึดมั่น

        ที่มา ...

        พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 212


    หมายเลข 10795
    25 ม.ค. 2567